การยื่นเรื่องขอหย่าร้างของ 'ซงจุงกิ-ซงเฮคโย' สามีภรรยานักแสดงคนดังแห่งเกาหลีใต้ เป็นข่าวใหญ่ในกลุ่มแฟนคลับทั่วโลก แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียง 'ยอดภูเขาน้ำแข็ง' ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัวในเกาหลีใต้ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเหตุผลประกอบการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นทุกปี ขยายตัวจากประเด็นที่คนเกาหลีใต้ยุคก่อนหน้ามองว่าเป็น 'เรื่องเล็กน้อย' เท่านั้น
เกิดเป็นข่าวที่สร้างความตกใจให้กับแฟนคลับทั่วโลก เมื่อ 'ซงจุงกิ' นักแสดงชายชื่อดังชาวเกาหลีใต้ ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อให้พิจารณาการหย่าขาดจาก 'ซงเฮคโย' นักแสดงหญิงชื่อดังไม่แพ้กัน ทำให้ทางบริษัทต้นสังกัดของทั้งคู่ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริง ซึ่งฝ่ายชายไม่ได้ชี้แจงเหตุผล แต่ฝ่ายหญิงระบุถึง 'ความแตกต่างด้านอุปนิสัย' ที่แม้จะพยายามปรับเข้าหากันแล้ว ก็ไม่สามารถประสานความแตกต่างนั้นได้ จึงเป็นจุดจบที่น่าเสียด���ยของคู่รัก 'ซงซง' อันโด่งดัง
ตามปกติแล้วกฎหมายครอบครัวของเกาหลีใต้กำหนดว่า สามีภรรยาที่ต้องการหย่าขาดจากกันต้องยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้พิจารณาว่าจะตัดสินให้คู่กรณีสิ้นสุดสถานะคู่สมรสหรือไม่ โดยขั้นตอนปกติสำหรับคู่ที่ไม่มีบุตรด้วยกัน ศาลมักจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 30 วัน แต่คู่ที่มีบุตรอาจใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการชี้แจงข้อตกลงระหว่างสามีภรรยาว่าจะดำเนินการหลังหย่าร้างอย่างไร ซึ่งต้องหาข้อยุติในเรื่องต่าง ๆ ให้ได้ เช่น การจัดสรรหรือแบ่งทรัพย์สินที่ถือครองร่วมกัน การดูแลสภาพจิตใจของอดีตคู่สมรสหลังการหย่าร้าง สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร และการจ่ายค่าชดเชยเรื่องบุตร โดยขั้นตอนการหย่าของเกาหลีใต้ต้องดำเนินการผ่านศาลครอบครัว เพื่อให้สามีหรือภรรยาได้รับความเป็นธรรม ตลอดจนได้รับสิทธิที่ตนควรได้
ทั้งนี้ คู่รัก 'ซงซง' แต่งงานกันหลังจากร่วมงานในซีรีส์ดัง Descendants of the Sun ที่ออกฉายเมื่อปี 2016 จนโด่งดังไปทั่วโลก โดยทั้งคู่จัดพิธีสมรสในเดือนตุลาคมปี 2017 และได้รับปฏิกิริยาทั้งบวกและลบจากแฟนคลับ เพราะผู้ชื่นชมยินดีจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบบทบาทของทั้งคู่ในซีรีส์ดัง แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานจำนวนมากเป็นแฟนคลับของซงจุงกิ ซึ่งไม่พอใจที่ซงเฮคโยเป็นนักแสดงที่อายุมากกว่า และเกรงว่าการแต่งงานจะทำให้อนาคตนักแสดงของฝ่ายชายตกต่ำลง
เว็บไซต์ 10mag สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษที่เจาะกลุ่มชาวต่างชาติในเกาหลีใต้ รายงานว่า เหตุผลของการยื่นเรื่องหย่าในเกาหลีใต้ ถูกอ้างอิงในมาตรา 840 ของกฎหมายว่าด้วยการสมรส ระบุว่า คู่สามีภรรยาจะยื่นเรื่องหย่าขาดได้ด้วยเหตุผล 6 ข้อ ได้แก่
1. มีการนอกใจกันเกิดขึ้น
2. คู่สมรสถูกทอดทิ้ง
3. คู่สมรสถูกปฏิบัติอย่างทารุณ
4. คู่สมรสกระทำผิดหรือกระทำทารุณต่อบุพการีของอีกฝ่าย
5. คู่สมรสสูญหายหรือไม่อาจติดตามตัวได้นานกว่า 3 ปี
6. คู่สมรสประสบเหตุอื่น ๆ ที่รุนแรงจนไม่สามารถดำเนินชีวิตสมรสร่วมกันต่อไปได้
ส่วนเหตุผลในแถลงการณ์ของต้นสังกัดซงเฮคโยอาจจัดอยู่ในข้อ 6 ซึ่งก็คือ เหตุผล 'อื่น ๆ' ซึ่งไม่เข้าพวกจาก 5 ข้อก่อนหน้า โดยเว็บไซต์ Korea Herald สื่อเกาหลีใต้ เคยรายงานว่า สามีภรรยาในเกาหลีใต้หย่าร้างกันด้วยเหตุผล 'อื่น ๆ' เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงราว 30 ปีที่ผ่านมา และอ้างอิงสถิติหย่าร้างที่รวบรวมโดยมูลนิธิที่ปรึกษาด้านกฎหมาย The Korea Legal Aid Center for Family Relations หรือ KLACFR พบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของสามีภรรยาที่ยื่นเรื่องขอหย่าในปี 2010 ระบุเหตุผล 'อื่น ๆ' ในการหย่าร้าง ซึ่งคนเกาหลีอายุ 50-60 ปีขึ้นไปอาจมองว่าเป็น 'เรื่องไร้สาระ'
อุปนิสัย ทัศนคติ แนวทางการใช้ชีวิต รวมไปถึงความต้องการที่แตกต่างกันในชีวิตสมรส เป็นประเด็นที่สามีภรรยายุคหลังในเกาหลีใต้ใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจหย่าร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสื่อเกาหลีใต้บางสำนักมองว่าความเปลี่ยนแปลงของ 'เหตุผล' ในการหย่าร้างของสามีภรรยาเกาหลี แท้จริงเป็นภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่่ส่งผลต่อบทบาทของผู้หญิงและผู้ชายในสถาบันครอบครัว จากเดิมที่ผู้หญิงเกาหลีใต้ต้องพึ่งพิงผู้ชายและยอมรับบทบาท 'แม่บ้าน' ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อผู้หญิงได้รับโอกาสทางการศึกษาและอาชีพการงาน ทำให้ความสัมพันธ์ในลักษณะพึ่งพิง และต้องยอมอดทนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสามีกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม
ข้อมูลของ KLACFR ระบุว่า บรรยากาศของสังคมมีผลต่อการหย่าร้างของสามีภรรยาในเกาหลีใต้ โดยเริ่มมีการเก็บสถิติคู่สามีภรรยาที่ยื่นเรื่องขอหย่าในชั้นศาลตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950-1960 และ 1970 โดยช่วงดังกล่าวคาบเกี่ยวกับยุคสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนามที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียอย่างมาก ซึ่งข้อมูลในยุคนั้นระบุว่า 6.2 เปอร์เซ็นต์ของผู้ดำเนินเรื่องหย่า เกิดจาก 'คู่สมรสหายตัวไป' โดยเกิดขึ้นกับทั้งสามีที่ถูกส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่ในสงครามและกลับมาไม่เจอภรรยา ขณะที่ภรรยาก็ไม่สามารถติดต่อสามีได้เป็นเวลานาน
จนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่เกาหลีใต้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้บทบาทของผู้หญิงเกาหลีใต้ในการหารายได้หรือประกอบธุรกิจมีความเข้มแข็งขึ้น แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกกำหนดให้เป็น 'แม่บ้าน' และไม่สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ส่งผลให้ 35.2 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายที่ต้องการหย่าขาดในช่วงนี้ให้เหตุผลว่า ภรรยาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เช่น ภรรยาที่ทำงานนอกบ้าน จนไม่มีเวลาทำงานบ้าน
ขณะที่ 31.3 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่ต้องการหย่าขาดจากสามี ระบุเหตุผลว่าตนถูกปฏิบัติอย่างทารุณ โดยมักเกี่ยวพันกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัว แตกต่างจากยุคก่อนหน้าที่ภรรยาส่วนใหญ่ยอมอดทนรักษาสถานะครอบครัวเอาไว้แม้ว่าจะเผชิญกับสามีใช้ความรุนแรงหรือสามีนอกใจ แต่เมื่อผู้หญิงเริ่มพึ่งพาตัวเองได้ก็ทำให้ตัดสินใจขอหย่าเพิ่มขึ้น
การหย่าร้างด้วยเหตุผลเรื่องการใช้ความรุนแรง หรือ 'การปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม' ต่อคู่สมรสที่เพิ่มสูงสุดในยุค 1990 ทำให้เกาหลีใต้ปรับเปลี่ยนกฎหมายครอบครัวว่าด้วยการหย่าร้าง โดยมีการเพิ่มเงื่อนไขให้คู่สมรสต้องชี้แจงขั้นตอนดำเนินการหลังหย่าขาดให้ชัดเจน เพื่อวางกรอบการคุ้มครองและชดเชยแก่คู่สมรส ซึ่งส่วนใหญ่จะคำนึงถึงประเด็นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยสำนักข่าวรอยเตอร์เคยรายงานกรณีภรรยาขอหย่าจากสามีที่เป็นพนักงานบริษัท แต่ศาลพิพากษาให้แบ่งสินทรัพย์กันคนละครึ่ง แม้สามีจะเป็นคนหารายได้เข้าบ้าน และภรรยาเป็นแม่บ้านดูแลลูกมาตลอดชีวิตสมรส แต่ศาลถือว่าการทำงานบ้านถือเป็นงานอย่างหนึ่งซึ่งควรได้รับการตอบแทนเช่นกัน
นอกจากนี้ รอยเตอร์ยังรายงานด้วยว่า นับตั้งแต่ยุค 2000 เป็นต้นมา สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานจนถึงช่วงวัยบั้นปลายชีวิตกลับตัดสินใจหย่าร้างเพิ่มขึ้น โดยสถิติสูงสุดที่สำรวจได้เมื่อปี 2015 บ่งชี้ว่า 31 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่หย่าร้างในปีดังกล่าวเป็นสามีภรรยาที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สังคมเกาหลีใต้เริ่มหันมาใส่ใจเพิ่มขึ้น สัดส่วนของภรรยาสูงอายุในเกาหลีใต้ที่ยื่นเรื่องขอหย่ามีมากกว่าสัดส่วนของสามีที่ขอหย่าในช่วงบั้นปลาย ซึ่งรอยเตอร์ประเมินว่า ภรรยาส่วนหนึ่งหันไปพึ่งบุตรหลานแทน จึงไม่จำเป็นต้องอดทนกับสามีเหมือนในอดีต