นักวิจัยอเมริกันเปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดที่ค้นพบว่า ผู้หญิงที่บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนครึ่ง ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมน้อยกว่าคนที่กินผักและผลไม้น้อย
นักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งฮาร์วาร์ด (Harvard T.H. Chan School of Public Health) เปิดเผยการศึกษาล่าสุดที่เน้นค้นหาปัจจัยเสี่ยงของผู้หญิงที่จะทำให้เกิดโรคร้ายเรื้อรัง ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ด้านมะเร็ง International Journal of Cancer โดยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้หญิงจำนวน 182,145 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 27 ถึง 59 ปี ที่ร่วมโครงการระยะยาวของการศึกษาสุขภาพของนางพยาบาล หรือ Nurses’ Health Study
ผลวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่บริโภคผักและผลไม้มากกว่า 5.5 หน่วยต่อวัน มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าคนที่กินผักและผลไม้วันละ 2.5 หน่วยหรือน้อยกว่านั้น ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ โดยหนึ่งหน่วยบริโภคเท่ากับผักสดที่เป็นใบหนึ่งถ้วย ผสมกับผักต้มหรือผักสดอีกครึ่งถ้วย หรือจะเป็นผลไม้สุกและหั่นปริมาณครึ่งถ้วยก็ได้
การศึกษายังพบว่า ผักในตระกูลกระหล่ำอย่าง บรอกโคลี รวมถึงผักสีเหลืองและสีส้ม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้มากกว่าผักชนิดอื่น นอกจากนั้น การบริโภคผักและผลไม้เป็นจำนวนมากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเนื้องอกขั้นร้ายแรงในกลุ่ม ER-negative กลุ่ม HER2-enriched และกลุ่ม basal-like ได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยดังกล่าวได้เผยผลการศึกษาว่า การบริโภคไฟเบอร์ปริมาณมากมีความเกี่ยวโยงกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งผลการศึกษาล่าสุดนี้ได้ทำให้เห็นว่า ประโยชน์ของการรับประทานผักและผลไม้นั้นไม่ได้มาจากไฟเบอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่น เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารรองอื่น ๆ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้