เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น หลายคนเปลี่ยนพฤติกรรมแม้กระทั่งการพบแพทย์เมื่อมีอาการป่วยไข้ โดยการสื่อสารตรวจอาการผ่านสมาร์ตโฟน แม้จะเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็ว แต่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าการพบแพทย์ด้วยวิธีใหม่นี้ดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยจริงหรือไม่
สำนักข่าว CNN เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ป่วยที่ต้องการพบแพทย์ในปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ โดยการยกตัวอย่างของชายคนหนึ่งที่ชื่อนายชาร์ลี ลาทุสก์ วัย 27 ปี อาศัยอยู่ในเมืองเซอร์เรย์ของอังกฤษ ที่ตื่นขึ้นมาเช้าวันหนึ่งด้วยอาการป่วย ตัวร้อนเหมือนมีไข้ และมีอาการเจ็บคอมาแล้วหลายวัน อาการเขาเลวร้ายขึ้นทุกวันจนรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินทางไปพบแพทย์ ปัญหาใหญ่ของเขาก็คือภายใน 3 วันหลังจากนั้นเขาต้องเดินทางไปเที่ยวพักร้อนกับภรรยาตามแผนที่วางไว้ แต่กลับมาป่วยหนักและไม่สามารถไปหาหมอใกล้บ้านได้เนื่องจากคิวคนไข้นั้นมากมายมหาศาล และต้องรอหลายวันจนกว่าจะได้เข้าพบแพทย์
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ภรรยาของชาร์ลีจึงได้แนะนำให้เขารู้จักกับแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Push Doctor ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการพบแพทย์แบบออนไลน์ มีค่าใช้��่ายในการสมัครเพียง 38 ดอลลาร์ หรือราว 1,240 บาท จากนั้นก็สามารถระบุอาการและปรึกษาแพทย์ผ่านวิดีโอคอลได้ทันที โดยช่วงแรกชาร์ลีไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในวิธีการพบแพทย์แบบใหม่นี้เท่าใดนัก แต่หลังจากแพทย์ทราบอาการผ่านการพูดคุย และได้ออกใบสั่งยาเพื่อไปซื้อที่ร้านขายยา หลังจากนั้นภายใน 3 วันเขาก็มีอาการดีขึ้น และสามารถพาภรรยาไปเที่ยวได้ตามตั้งใจ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาร์ลีประทับใจในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเรื่องการแพทย์อย่างมาก
ด้าน CEO ของแอปพลิเคชัน Push Doctor ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เมื่อปีที่ผ่านมา บริการของแอปพลิเคชัน Push Doctor นั้นได้ทำการช่วยเหลือคนไข้อย่างน้อย 1,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และนั่นก็น่าจะเป็นผลพวงมาจากการตอบรับและให้คำปรึกษาจากแพทย์ที่สะดวกรวดเร็วผ่านโลกออนไลน์ จนคนไข้ส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาอยากจะได้รับการบริการทางการแพทย์เช่นนี้ตามโรงพยาบาลทั่วไปเช่นกัน
ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Push Doctor นั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายหลายแอปพลิเคชันที่มีให้บริการอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลอย่างมากและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีกับผู้ป่วยที่ต้องการการรักษา แต่อาจจะไม่สามารถเดินทางไปพบแพทย์ถึงสถานพยาบาลได้ด้วยตัวเองเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเจ็บป่วยอย่างหนักจนไม่สามารถเดินทางได้ หรือการอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากสถานพยาบาลมากเกินไป
โดยขณะนี้มีหลากหลายแพลตฟอร์มที่เริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ เข้ามาช่วยพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และมีความความแม่นยำในการรักษามากยิ่งขึ้น เทียบเท่ากับประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์ที่เป็นมนุษย์ เช่น การวิเคราะห์อาการเบื้องต้น เพื่อส่งผู้ป่วยไปยังแพทย์ที่เหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด
ด้าน Babylon Health อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ให้บริการทางการแพทย์ในลักษณะที่คล้ายกัน ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์ออกมาว่า เอไอสามารถวินิจฉัยโรคในแบบทดสอบได้แม่นยำมากกว่าแพทย์ที่เป็นมนุษย์ด้วยคะแนนความแม่นยำ 81 เปอร์เซ็นต์ต่อ 72 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
อีกหนึ่งแบบทดสอบที่ถูกนำมาใช้ก็คือแบบทดสอบด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคทั้งหมด 100 อาการ ที่จัดทำโดยราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน หรือ Royal College of Physicians in the UK ซึ่งผลก็ออกมาตามคาด แพทย์ที่เป็นเอไอได้คะแนนความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคไปสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แพทย์ที่เป็นมนุษย์ทั้ง 7 คนที่ร่วมทำแบบทดสอบได้คะแนนอยู่ระหว่าง 64 ถึง 94 เปอร์เซ็นต์
ดร.โมบาชเชอร์ บัทท์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของแอปพลิเคชัน Babylon Health ระบุว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาแพลตฟอร์มก็คือการผลักดันให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการนำเอไอเข้ามาใช้ถือเป็นเรื่องดี เพราะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะช่วยจัดหาบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้ป่วยได้ สามารถรักษาอาการป่วยให้ดีขึ้นในระยะยาว ติดตามการให้ยาและเตือนความจำผู้ป่วยได้โดยไม่หลงลืม รวมถึงยังติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และจัดระบบการสั่งยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.โมบาชเชอร์ บัทท์ ยังระบุอีกด้วยว่า การที่มนุษย์รู้จักนำเทคโนโลยีเอไอเข้ามาช่วยในเรื่องการแพทย์ คือการทำงานที่ชาญฉลาดมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็สามารถมองเห็นว่าเทคโนโลยีมีข้อดีมากมาย และสามารถทุ่นแรงแพทย์และพยาบาลที่เป็นมนุษย์ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างมากในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถมอบการดูแลที่ต้องมาจากมนุษย์เท่านั้นให้กับผู้ป่วยได้อย่างมาประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีเป็นผู้ทำหน้าที่แทนในบางหน้าที่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะจากมนุษย์เท่านั้น