ธนาคารโลกเตือนว่าปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมถึงเศรษฐกิจโลกอย่างร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์
ธนาคารโลกออกมาเตือนว่า ปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ โดยธนาคารโลกคาดว่าในปี 2017 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกน่าจะสูงถึงร้อยละ 6.4 หรือสูงกว่าเมื่อปี 2016 เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการภายในประเทศของจีนที่สูงขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงคือความขัดแย้งในภูมิภาคจากกรณีของเกาหลีเหนือ ซึ่งธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอาจบานปลายสู่การสู้รบ
โดยรายงานฉบับล่าสุดของธนาคารโลกกล่าวถึงกรณีที่สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือถึง 2 ครั้งว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีบทบาทสำคัญต่อการคมนาคมขนส่งทางเรือ รวมถึงห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ดังนั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน โดยความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นนี้ อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากภูมิภาค เกิดการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย อีกทั้งยังทำให้ค่าเบี้ยประกันสำหรับเรือสินค้าสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าทั่วโลกด้วย.
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียน รีวีว วิเคราะห์ว่า การที่ธนาคารโลกออกมาเตือนถึงความเสี่ยงจากความขัดแย้งในภูมิภาคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยมาก และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ธนาคารโลกเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี โดยแหล่งข่าวในธนาคารโลกเปิดเผยต่อนิกเกอิ เอเชียน รีวิวว่า ปัญหาเกาหลีเหนือเป็นประเด็นสำคัญเกินกว่าที่จะไม่พูดถึง
ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์ของอินโดนีเซียแสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า ปัญหาเกาหลีเหนือจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของอาเซียน เนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจะทำให้พฤติกรรมการบริโภคของชนชั้นกลางเปลี่ยนแปลงไป และจะทำให้ประเด็นเรื่องการเมืองในภูมิภาค ความมั่นคง ความเสี่ยง และความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก กลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน
นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังเตือนว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA ใหม่โดยการผลักดันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเบรกซิตอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเศรษฐกิจโลก อีกทั้ง ธนาคารโลกยังแสดงความกังวลถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และหนี้สาธารณะในจีน อินโดนีเซีย และไทย ว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเศรษฐกิจโลกเช่นกัน