ยังคงเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Pride Month และชุมชน LGBT เพราะล่าสุดมีประเด็นเรื่องการแคสต์นักแสดงในฮอลลีวูดที่มองได้ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิการทำงานของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยกรณีนี้เป็นเรื่องของสาวสวย สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน กับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธอ
ประเด็นร้อนล่าสุดของฮอลลีวูดคือการที่ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน จะรับบทเป็นผู้ชายทรานส์ (เพศกำเนิดเป็นผู้หญิง) ที่มีตัวตนอยู่จริงและเปิดธุรกิจค้าบริการในสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษที่ 70 ถึง 80 ซึ่งก็ทำให้นักแสดงทรานส์ รวมถึงชุมชนทรานส์ออกมาต่อต้านอย่างจริงจัง โดยระบุว่า นักแสดงทรานส์มักได้รับบททรานส์ในภาพยนตร์ฟอร์มเล็กเท่านั้น และไม่มีการเรียกไปแคสต์ตัวหรือออดิชันในบททรานส์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ หรือบทผู้หญิงผู้ชายทั่วไปเลย
ในขณะที่นักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูดเล่นได้ทั้งบทหญิงชาย และทรานส์ โดยที่บททรานส์ก็มักจะส่งพวกเขาให้ได้รับรางวัลทางการแสดงอีกด้วย เรียกได้ว่าฮอลลีวูดไม่เปิดโอกาสทางการแสดงให้กับทรานส์อย่างแท้จริง และยังใช้ประเด็น LGBT เป็นเครื่องมือผลักดันให้นักแสดงคนหนึ่ง ๆ รับรางวัลและมีชื่อเสียงยิ่งขึ้นด้วย
ก่อนหน้า โจแฮนส์สัน มีนักแสดงชื่อดังมากมายที่รับบททรานส์มาแล้ว โดยทั้งหมดที่เป็นภาพยนตร์ในกระแสและได้รับรางวัลมากมายนั้น ล้วนเป็นนักแสดง Cisgender ซึ่งก็คือคนที่ลักษณะภายนอกตรงกับเพศกำเนิด โดยไม่เกี่ยวข้องกับเพศสภาพ เช่น แอล แฟนนิง ใน 3 Generations เอ็ดดี เรดเมย์น ใน The Danish Girl จาเรด เลโต ใน Dallus Buyers Club เจฟฟรีย์ แทมบอร์ ใน Transparent ฮิลลารี สแวงก์ ใน Boys Don't Cry และเฟลิซิตี ฮัฟแมน ใน Transamerica เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเคสที่น่าสนใจก็คือ แมตต์ โบเมอร์ ที่เพิ่งถูกแคสต์ในเรื่อง Anything ที่ยังไม่มีกำหนดฉาย เพราะตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน LGBT ด้วย แต่ไม่ว่าจะชอบเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม ชุมชนทรานส์ก็มองว่าเขาเป็น Cisgender และไม่ควรรับบททรานส์ตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ หนึ่งในนักแสดงทรานส์ เทรซ ลิเซตต์ ออกมาให้ความเห็นว่า 'ฉันคงไม่หัวเสียขนาดนี้ ถ้าเวลาแคสต์บท Cisgender แล้วฉันได้ไปแคสต์พร้อมกับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ และ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ด้วย ซึ่งความจริงไม่เป็นแบบนั้นไง'
โจแฮนส์สัน เป็นนักแสดงที่เคยถูกวิจารณ์จากกรณี 'แคสต์ไม่ตรงบท' เช่นนี้มาแล้ว จากภาพยนตร์ Ghost in the Shell ที่เธอรับบทเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการ Whitewashing ผลงาน หรือก็คือการให้นักแสดงผิวขาวรับบทเป็นเชื้อชาติอื่น พอมาเจอกรณีความไม่เหมาะสมนี้อีกครั้ง จึงเป็นที่ถกเถียงถึงความเปิดกว้างต่อความหลากหลายในฮอลลีวูดอีกครั้ง ประกอบกับการที่บริษัท These Pictures ของเธอ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมผลิต Rub & Tug ภาพยนตร์เจ้าปัญหาเรื่องล่าสุดนี้ ทำให้มองได้ว่า เธออาจต้องการผลิตผลงานนี้เพื่อให้ตัวเองมีลุ้นออสการ์เท่านั้น