ความไร้เสถียรภาพในเวเนซุเอลาขณะนี้ไม่ได้ส่งผลแค่ด้านเศรษฐกิจและการเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้ความก้าวหน้าทางวิทยาการเข้าสู่ภาวะชะงักงันด้วย
ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา พื้นที่เกินครึ่งของเวเนซุเอลาเกิดปัญหาไฟฟ้าดับต่อเนื่องร่วมสัปดาห์ ทำให้ระบบขนส่งมวลชน โทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ยิ่งไปกว่านั้น สถานพยาบาลยังต้องประสบกับภาวะที่เครื่องมือการแพทย์ที่ใช้งานโดยปราศจากไฟฟ้าไม่ได้ ทำให้การรักษาหรือช่วยชีวิตผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบาก
นอกจากนี้ หลายเมืองหลักยังไม่มีน้ำสะอาดใช้ เท่ากับว่า ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างน้ำและไฟฟ้า ทั้งยังเสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอีกด้วย ซึ่งวิกฤติการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจการเมืองที่สะสมมาหลายสิบปี จนไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ และความไร้เสถียรภาพนี้ก็กำลังกัดกร่อนความเจริญทางวิทยาการ ส่งผลให้การฟื้นตัวของประเทศในอนาคตยิ่งน่าเป็นห่วง
รายงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2015 มีประชากรเวเนซุเอลากว่า 3 ล้านคน ลี้ภัยออกนอกประเทศ เนื่องจากความยากจนและปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ยืดเยื้อเรื้อรัง โดยผลสำรวจที่มหาวิทยาลัยกลางแห่งเวเนซุเอลาร่วมจัดทำชี้ว่า ในปี 2014 มีครัวเรือนที่เข้าข่ายยากจน 48.4 % ของทั้งประเทศ ขณะที่ปี 2017 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 87 % ซึ่งในจำนวนนี้ 61.2 % เข้าข่าย 'ยากจนมาก'
ภาวะ 'สมองไหล' หรือก็คือ การไหลออกของบุคลากรภาควิชาการ ทำให้วิชาชีพหลายแขนงเริ่มขาดแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านวิศวกรรม สาธารณสุข และการศึกษา ที่ประสบปัญหารุนแรงที่สุด และสำหรับภาคอุตสาหกรรมและวิศวกรรม ยังสามารถเจาะจงลงไปได้ด้วยว่า บุคลากรด้านปิโตรเลียมและไฮโดรคาร์บอน เป็นสาขาที่ขาดแคลนบุคลากรมากที่สุด
กลุ่มคนเหล่านี้มักอพยพไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น ชิลี อุรุกวัย อาร์เจนตินา หรือแม้แต่ประเทศในยุโรปอย่าง สเปน เนื่องจากไม่มีกำแพงด้านภาษามาเป็นอุปสรรค และสถิติยังชี้ด้วยว่า ผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาที่ 'ไหลออก' ไปยังประเทศเหล่านี้ มักมีความรู้ความสามารถด้านวิทยาการค่อนข้างสูง ซึ่งถือเป็นความสูญเสียอย่างมากต่อการเติบโตของประเทศ
จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยอันโตนิโอ รูอิซ เดอ มอนโตยา หรือ UARM ในกรุงลิมา ของเปรู ภายใต้การรับรองขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM ระบุว่า ในประเทศชิลี ซึ่งมีชาวเวเนซุเอลาลงทะเบียนพักอาศัย 85,500 คน ในปี 2017 ในจำนวนนี้ 64 % จบปริญญาตรีหรือปริญญาโทเป็นอย่างต่ำ ซึ่งมากกว่าผู้อพยพย้ายถิ่นจากชาติอื่น ๆ เป็นเท่าตัว
ขณะเดียวกัน สภาวะความเป็นไปภายในเวเนซุเอลาเองก็ไม่ได้เชื้อเชิญหรือดึงดูดให้คนเข้าไปศึกษาหาความรู้ หรือขับเคลื่อนภาควิทยาการไปข้างหน้าเท่าไรนัก โดยระหว่างปี 2016 ถึง 2017 จำนวนผู้เดินทางเข้าไปเรียนต่อในเวเนซุเอลาลดลงจาก 48 % มาอยู่ที่ 38 % ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ 'คนรุ่นใหม่' อายุ 18 ถึง 24 ปี นับล้านตัดสินใจเลิกไปเรียน และมีเพียง 426,000 คน จากราว 4 ล้านคน ที่ฝึกอบรมอาชีพในแนวทางที่เรียนมาจบตามเงื่อนไข
โฮเซ โคเอชลิน อาจารย์จาก UARM ผู้ร่วมเก็บสถิติด้านบุคลากรที่โยกย้ายถิ่น ให้ความเห็นว่า หากเวเนซุเอลาไม่มีนักเรียนนักศึกษา ก็จะไม่มีงานวิจัยและผลผลิตด้านองค์ความรู้ ซึ่งสะท้อนว่าภาวะขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถนี้เป็นปัญหาใหญ่ และยิ่งทำให้ประเทศเติบโตไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในเวเนซุเอลาขณะนี้ ก็ไม่ได้เอื้อต่อการผลิตความรู้ เท่ากับว่าปัญหาส่วนนี้จะไม่ได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้
เขาเสนอว่า หนทางหนึ่งที่อาจใช้บรรเทาความเสียหายจากปัญหานี้ได้คือการประกาศใช้นโยบาย 'รับกลับประเทศ' หรือก็คือ การให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพต่าง ๆ กลับเข้าทำงานในภาคส่วนที่ขาดแคลน แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาไปทำงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถในประเทศอื่น เช่น กุมารแพทย์ไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก หรือ วิศวกรไปเป็นบริกร เป็นต้น
วิกฤติเวเนซุเอลาสะสมมาตั้งแต่รัฐบาลของนายอูโก ชาเบซ ที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 1999 โดยเขาเป็นคนเริ่มต้นใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับการตัดทอนผลผลิตของประเทศจนเหลือแต่น้ำมันดิบเป็นสินค้าหลัก ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่มีเสถียรภาพ เกิดเป็นปัญหาเงินเฟ้อขั้นรุนแรงในปัจจุบัน และทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองในที่สุด