เทสลา โมเดล 3 ครองแชมป์รถยนต์หรูที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยยอดขายเกือบ 56,000 คัน ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เอาชนะแบรนด์หรูอย่างออดี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และเลกซัส ได้สำเร็จ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทเทสลา ภายใต้การนำของนายอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท ได้ประกาศว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ หรือช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ทางบริษัทสามารถทำยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสลา โมเดล 3 ไปได้มากถึง 55,840 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้าชาวอเมริกัน โดยรถยนต์รุ่น Audi Q5 จากแบรนด์ออดี้ รถหรูระดับโลกทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในตลาดสหรัฐฯ ขายไปได้ทั้งสิ้น 21,000 คัน
ยอดขายดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า รถยนต์เทสลา โมเดล 3 นั้นได้รับความนิยมมากกว่ารถยนต์ประเภทแบรนด์หรูระดับโลกอื่น ๆ เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และเลกซัส และที่น่าแปลกใจก็คือ บริษัทเทสลาเป็นแบรนด์รถยนต์หรูหนึ่งเดียวที่ทำการตลาดน้อยที่สุด และมีจำนวนศูนย์การขายรถยนต์น้อยกว่าทุกแบรนด์อีกด้วย
นักวิเคราะห์กลับมองว่า สิ่งที่ทำให้คนทั่วไปมองข้ามความสำเร็จที่งดงามของเทสลาไปก็คือ ความเคลื่อนไหวภายในบริษัทเอง เพราะบ่อยครั้งที่เทสลามักออกมาประกาศเป้าหมายการทำยอดขายที่ค่อนข้างสุดโต่ง จนไม่สามารถทำได้สำเร็จตามที่พูด ฉะนั้น แม้ว่ายอดขายจะสูงถล่มทลาย แต่ก็ยังดูว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สูงพอ
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดเทสลาจึงถูกจัดให้อยู่ในประเภทรถยนต์หรู หรือ 'ลักซ์ชัวรี่ คาร์' ทั้งที่เทสลาเองก็วางตัวเองให้เป็นรถยนต์ทั่วไป เหตุผลก็เพราะว่า แม้เทสลา โมเดล 3 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.14 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถจำหน่ายได้ เนื่องจากแบตเตอรี่รุ่นสแตนดาร์ดนั้นยังผลิตไม่ทันและต้องใช้เวลาอีก 3-6 เดือน นั่นทำให้ลูกค้าเทสลา โมเดล 3 ที่รับรถไปแล้วในขณะนี้ต้องจ่ายอยู่ที่ราคาคันละ 49,000 - 55,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.6-1.8 ล้านบาท ซึ่งจะมาพร้อมแบตเตอรี่ประเภท Long-range ซึ่งมีราคาสูงกว่าแบบสแตนดาร์ด