นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สถานการณ์การใช้ยาลดความอ้วนของคนไทยอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง ซึ่งไม่เพียงก่อปัญหาผลกระทบทางกายของผู้ที่กินอย่างเดียวยังทำให้เกิดปัญหาทางจิตเวชด้วยโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า(depression) ซึ่งเป็นภัยเงียบในสังคมไทย มีคนไทยป่วยประมาณ 1.5 ล้านคนแต่ยังมีกว่าร้อยละ 40 ที่ยังไม่เข้ารักษาเนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าไม่ใช่โรค แต่เป็นลักษณะนิสัยของผู้ที่เข้าข่ายเรียบร้อยจึงมองข้ามปัญหานี้ไป ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยอายุ 15ปีขึ้นไปทั่วประเทศโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 พบว่ามีผู้กินยาลดความอ้วนร้อยละ 1.5 คาดว่าประมาณ 790,000 คน พบสูงที่สุดในผู้หญิงอายุ 15-29 ปี ร้อยละ 5.3
อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า ในยาลดความอ้วนที่มีส่วนผสมของสารอันตรายคือไซบูทรามีน (sibutramine) และเฟนเทอมีน (phentermine) สารชนิดนี้ทำให้มีอาการทางประสาทอ่อนๆและจะมีมากขึ้นหากคนที่กินมีปัญหาที่เรียกว่า "โยโย่" คือมีพฤติกรรมกินอาหารเพิ่มมากขึ้นหลังจากหยุดกินยาลดน้ำหนัก ซึ่งร่างกายต้องการสารอาหารเข้าไปทดแทนส่วนที่หายไป เนื่องจากในขณะที่กินยาลดนั้นร่างกายไม่ได้รับสารอาหาร เมื่อหยุดยาร่างกายจึงหลั่งสารเข้าไปกระตุ้นสมองให้มีความอยากอาหารมากขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้กินมากขึ้นและความอ้วนมากกว่าปกติ บางคนอาจมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัว เมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จะทำให้เกิดความเครียดซ้ำเติมหนักขึ้นไปอีก อาจรู้สึกไม่อยากออกไปเจอใคร แยกตัวเอง และหันกลับไปกินยาตัวเดิมซ้ำอีก อาจจะเกิดการดื้อยากินแล้วไม่ได้ผล ต้องกินยาที่แรงขึ้น เสี่ยงอันตรายมากขึ้น
สำหรับสารไซบูทรามีน และสารเฟนเทอมีน ที่ทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้นั้น เกิดจากฤทธิ์ยาจะไปกดสมองส่วนความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกเบื่ออาหารและไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักตัวจึงลดลง นอกจากนี้ยายังมีผลทำให้เพิ่มระดับของสารสื่อประสาทสำคัญ 3 ตัว ซึ่งต้องทำงานอย่างสมดุลกัน คือสารซีโรโทนิน (serotonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ความโกรธ ความหิว การรับรู้และความเจ็บปวด สารนอร์อิฟิเนฟฟรีน (norepinephrine) ซึ่งจะควบคุมการตื่นตัว กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและควบคุมการแสดงออกเวลาที่รู้สึกกลัว และสารโดปามีน (dopamine) จะควบคุมสมาธิ อารมณ์ ความรู้สึกคล้ายกัน โดยปกติร่างกายของเราจะหลั่งสารออกมาในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันหรือสมดุลกัน แต่หากร่างกายมีการหลั่งสารชนิดใดชนิดหนึ่งมากกว่ากัน ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าได้ และหากสารนี้ทำงานมากเกินปกติ อาจมีผลทำให้เกิดอาการหูแว่ว หวาดระแวง เห็นภาพหลอนได้เช่นกัน นำมาสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในชีวิต เช่นการฆ่าตัวตายเป็นต้น
ทางด้านนายแพทย์ประภาส อุครานันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานีกล่าวว่า ไซบูทรามีน และเฟนเทอร์มีน เป็นกลุ่มยาที่ยับยั้งการดูดกลับของสารสื่อประสาทในสมอง จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ใช้ยาเฟนเทอร์มีน มีอัตราเป็นซึมเศร้าร้อยละ 2 ซึ่งคนที่กินยาเฟนเทอร์มีนนี้จะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนที่กินยาไซบูทรามีนประมาณ 1.2 เท่า ส่วนยาไซบรูทรามีน มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 0.8 และเมื่อมีอาการซึมเศร้าจะมีความสัมพันธ์กับความคิดทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตายถึงร้อยละ 3.6
นอกจากนี้ยังพบว่า ยังมีการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressant) ผิดประเภท นำมาใช้ลดความอ้วน ที่นิยมใช้ คือ ยาฟลูออกซิทิน (Fluoxetine) ซึ่งศูนย์ลดน้ำหนักหลายแห่งมักนำมาใช้ โดยอาศัยผลข้างเคียงของตัวยาคือทำให้เบื่ออาหาร โดยเฉพาะใช้ในขนาดสูง ปัญหาสำคัญเมื่อคนทั่วไปเอายาชนิดนี้มากินในขนาดสูงมากๆ อาจทำให้เกิดอาการทางจิตแบบคึกคัก ครื้นเครงหรือร่าเริงเกินเหตุแบบแมเนีย (mania) ได้ ประการสำคัญยาตัวนี้หากกินร่วมกับยาไซบูทรามีนและยาเฟนเทอมีน จะทำให้มีโอกาสเกิดอาการทางจิตสูงกว่าปกติหลายเท่าตัวด้วย
“จึงขอย้ำเตือนให้ประชาชนที่มีปัญหาอ้วน น้ำหนักตัวมาก ขอให้ใช้วิธีการลดหรือควบคุมน้ำหนักตัวโดยการออกกำลังกายไม่ว่าจะออกกลางแจ้งหรือในฟิตเนส และการควบคุมอาหารการกิน จะดีที่สุดและให้ผลดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขคือ เอ็นดอร์ฟีน (Endorphin) ช่วยลดความเครียดลงได้ และช่วยให้นอนหลับดี การควบคุมน้ำหนักตัวด้วยการออกกำลังกายนี้จะต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่อง คือ ออกสัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที และการลดน้ำหนักที่ปลอดภัย ไม่ควรเกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม”นายแพทย์ประภาสกล่าว
นายแพทย์ประภาสกล่าวอีกว่า หากประชาชนที่อ้วน ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดน้ำหนักที่ถูกวิธี และหันมาพึ่งยาลดความอ้วนเป็นทางออก คาดว่า จะส่งผลให้สถานการณ์ของโรคซึมเศร้าของไทยบานปลาย รุนแรงขึ้นในอนาคต แนวโน้มผู้ป่วยมีอายุน้อยลง และการใช้ยาลดความอ้วนจะเป็นสาเหตุใหม่ของการเกิดโรคซึมเศร้า ซึ่งจากเดิมที่พบในผู้ที่มีความเครียด และจากกรรมพันธุ์เป็นต้นเหตุ โดยหากมีพ่อหรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกจะมีโอกาสเกิดได้ถึงร้อยละ 10-25