นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลจัดการปัญหาการใช้ แอมเฟตามีน (amphetamine) ของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ในเวทีการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ประจำปี 2561 มีการศึกษาที่บ่งชี้ และยืนยันว่าการใช้สารเสพติดมีผลต่ออัตราการเกิดปัญหาทางด้านจิตเวช และการใช้สารเสพติดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและฐานะทางสังคม โดยมีคนจำนวนมากที่ยังต้องการความช่วยเหลือ มีข้อมูลตรงกันว่าร้อยละ 70-80 ของผู้ติดยาเสพติด ในประเทศแถบนี้ ติดยาเสพติดประเภท แอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า
นอกจากนี้ พบว่าบางประเทศยังคงมีปัญหารุนแรงในเรื่องการติดเชื้อ HIV จากการใช้ยาเสพติดแบบฉีดเข้าเส้นเลือด บางประเทศยังไม่มีโปรแกรมฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติดที่เหมาะสมเนื่องจากติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย และบางประเทศยังมีโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้อ ต่อการรักษาและฟื้นฟู สารเสพติด
ส่วนด้านการป้องกันแก้ไขปัญหามีหลากหลายแนวทางในแต่ละประเทศ เช่น การปรับทัศนคติให้มองว่าปัญหาติดยา คือปัญหาทางด้านสุขภาพมากกว่าทางด้านกฎหมายเพื่อลดการเป็นตราบาป , การจัดตั้งหน่วยคัดกรองให้การดูแลและรักษาผู้ใช้ยาเสพติดแบบองค์รวม (One stop center for addiction= OSCA) เพื่อวินิจฉัยโรคร่วมกับการติดยาเสพติด เช่น HIV, โรคตับอักเสบ, โรคติดเชื้อทาง เพศสัมพันธ์, การพัฒนาความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน และ NGO เป็นต้น ด้านการติดตาม ดูแล ช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลทางด้านจิตใจ (psychosocial treatment) และการช่วยเหลือเบื้องต้นร่วมกับครอบครัว (early intervention & family) และทุกประเทศมีแนวโน้มการดูแล ช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ไปในแนวทางเดียวกันคือ การให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในดูแลผู้ป่วยติดยาเสพติดให้มากขึ้น
อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ติดสารเสพติดในประเทศประมาณ 3 แสนคน ช่วงที่มีการติดยาเสพติดสูงที่สุด คือ อายุ 18-24 ปี คิดเป็น30% โดยส่วนใหญ่ประมาณ 75% ใช้สารแอมเฟตามีน และโดยที่ปัญหาการใช้สารเสพติดก่อให้เกิดความเจ็บป่วยทางจิตเวช กรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการเพื่อลดความรุนแรงที่เกิดจากการใช้ สารเสพติด โดยจัดการอบรมอาสาสมัคร ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต มีสายด่วน 1669
สำหรับแจ้งเหตุหากพบผู้ป่วยจิตเวช ฉุกเฉิน ทั้งนี้ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายในปี ค.ศ. 2018 ให้การหาย ไม่กลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มติดสารเสพติดในระยะ 3 เดือนต้องมากกว่า ร้อยละ 90 โดยกำหนดให้มีการติดตามการรักษาแบบผู้ป่วยใน ทุก 2 เดือน และผู้ป่วยนอกอีก 2 เดือน ตลอดจนมีการเปลี่ยนจากการดูแลในโรงพยาบาลเป็นอาศัยการดูแลจากชุมชนเป็นหลัก (community base treatment)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :