ไม่พบผลการค้นหา
กรมสุขภาพจิต เผยเด็กวัยรุ่นที่เสพยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า จะทำให้พัฒนาการสมองล่าช้า ติดเชื้อง่าย ส่วนผู้ที่ติดยางอมแงมเสี่ยงป่วยทางจิตสูงกว่าคนทั่วไป 11 เท่า เตือนผู้เสพให้เลิกโดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งพัฒนาวิธีการป้องกันผู้ป่วยเสพยาซ้ำหลังบำบัดแล้ว

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิถุนายนทุกปี เป็นวันต่อต้านยาเสพติดโลกข้อมูลองค์การด้านยาเสพติดนานาชาติ ระบุว่าในปี 2560 ทั่วโลกมีผู้เสพยาเสพติดประมาณ 250 ล้านคน โดยมีผู้ติดยาประมาณ 29.5 ล้านคน หรือ ร้อยละ 0.6 ของประชากรผู้ใหญ่กำลังมีปัญหาสุขภาพและมีความทุกข์ทรมานสืบเนื่องมาจากติดยา ในส่วนของไทยผลสำรวจในกลุ่มประชาชนอายุ 12-65 ปี ในปี 2559 พบมีผู้ที่เคยใช้สารเสพติดจำนวนเกือบ 3 ล้านคน หรือ 58.2 คนต่อประชากร 1,000 คน ประมาณร้อยละ 70 เป็นยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สารกระตุ้นประสาทกลุ่มแอมเฟตามีน ที่พบแพร่ระบาดในไทยมี 2 รูปแบบ คือชนิดเม็ดหรือยาบ้า และชนิดเกร็ดหรือที่เรียกว่าไอซ์ ไม่ว่าจะเสพแบบไหนก็ตามทำให้เกิดปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างน้อย 5 ประการคือ

1.ขาดสารอาหารเนื่องจากทำให้ความอยากอาหารลดลง โดยหากเป็นเด็กและวัยรุ่น จะมีผลให้พัฒนาการของสมองล่าช้า ติดเชื้อง่าย เนื่องจากขาดภูมิต้านทานโรค

2.ความสามารถในการทำงานหรือการเรียนลดลง

3.มีความผิดปกติทางอารมณ์ ที่พบได้บ่อยคือ ซึมเศร้า วิตกกังวล พบได้ทั้งช่วงเสพยาและช่วงหยุดเสพ

4.สมองส่วนความคิดมีความผิดปกติ

5.เกิดอาการทางจิตพบในรายที่เสพติดอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยยาบ้าเป็นสารกระตุ้นประสาทที่พบอาการป่วยทางจิตได้บ่อยที่สุดเรียกว่าโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine induced Psychosis) มีอาการคล้ายกับโรคจิตเภท ที่พบบ่อยที่สุดคือ หวาดระแวงกลัวคนมาทำร้าย หูแว่วได้ยินคนอื่นพาดพิงถึงตน มีความเสี่ยงทำร้ายตัวเองตนเองสูง ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า คนที่ติดยาบ้างอมแงมมีโอกาสเกิดโรคทางจิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง11เท่าตัว

ดังนั้น จึงขอให้ผู้เสพเลิกเสพยาให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยสามารถเข้ารับการบำบัดได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน  

ทั้งนี้ ในปี 2560 มีผู้ป่วยติดสารเสพติดที่มีอาการทางจิตเข้าบำบัดรักษาในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ 226,391 คน คิดเป็นร้อยละ 8 จากผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด 2,669,821 คน ในปีนี้กรมสุขภาพจิตได้ให้โรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งบำบัดรักษาและฟื้นฟู โดยตั้งเป้าหยุดเสพยาต่อเนื่อง 3 เดือนภายหลังรักษาแล้วให้ได้ร้อยละ 98

ด้านนายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ จ.นครพนม เปิดเผยว่า ปีนี้โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมฯ ได้ศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมการบำบัดด้วยวิธีการ “สติบำบัด” (Mindfulness- based Therapy and counseling for Relapse Prevention) โดยเพิ่มการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ และมีเทคนิคจัดการกับอารมณ์ ความอยากเสพยา เพื่อลดและป้องกันปัญหาการเสพยาซ้ำหลังรักษา  ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงอาการป่วยทางจิตของผู้ติดยาเสพติดลงได้ ใช้เวลา 2 เดือนทั้งขณะอยู่ที่ผู้ป่วยพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและอยู่ที่บ้าน 

โดยผลการศึกษาในผู้ป่วยที่อาการทางจิตทุเลาแล้วและสมัครใจในเบื้องต้นจำนวน 15 คน พบว่า สามารถป้องกันการกลับไปเสพยาซ้ำได้ผลเป็นที่พอใจ โดยภายใน 3 เดือนหลังครบโปรแกรมบำบัด ผู้ป่วยทั้ง 15 คนหรือ100 เปอร์เซนต์ ไม่กลับไปเสพยาบ้า และไม่มีกลับเข้ามานอนพักรักษาแบบผู้ป่วยในซ้ำในโรงพยาบาล และยังได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะ 6 เดือน ผู้ป่วย 13 คน ไม่กลับไปเสพซ้ำ และมี 14 คน ไม่กลับมารักษาซ้ำแบบผู้ป่วยใน 

อย่างไรก็ตาม ขั้นต่อไปวางแผนจะศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ  เช่น วิธีการเสริมแรงจูงใจ ใช้ขนาดกลุ่มใหญ่ขึ้นตามมาตรฐานการวิจัยในระดับสากล ต่อไป สำหรับการทำสติบำบัดนั้น เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยรู้เท่าทันความคิดตัวเอง มีทักษะหยุดความคิดตัวเอง โดยเฉพาะความคิดการใช้ยาเสพติด ให้มีสติอยู่กับกิจกรรมที่ทำในปัจจุบัน ไม่วอกแวกไปกับความคิดอื่นที่จะนำพาไปสู่การใช้ยาเสพติดอีก ผู้ให้การบำบัดต้องได้ผ่านการอบรมและได้รับการรับรองจากกรมสุขภาพจิต


อ่านเพิ่มเติม