การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของวิกรมสิงเห อาจจะยิ่งสุมไฟความโกรธให้กับประชาชนที่ประท้วงขับไล่ตระกูลราชปักษา และบริวารใกล้ชิด หลังจากที่ตระกูลราชปักษาที่ปกครองศรีลังกามานานนับสองทศวรรษ กลับบริหารศรีลังกาด้วยความล้มเหลว จนทำให้ประเทศล้มละลายจากการเป็นหนี้จำนวนมหาศาล ทั้งนี้ ศรีลังกาผิดชำระหนี้ต่างประเทศ พร้อมๆ กับกับเกิดภาวะเงินเฟ้อและการขาดแคลนสินค้าพลังงานจนทำให้ศรีลังกาพบกับวิกฤตครั้งรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อ 70 ปีก่อน
ทั้งนี้ เสียงส่วนมากของรัฐสภาศรีลังกา ซึ่งยังคงครองเก้าอี้โดยฐาน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งให้การสนับสนุนตระกูลราชปักษาจำนวน 134 จาก 223 เสียงของ ส.ส.ทั้งหมด ลงคะแนนเลือกให้วิกรมสิงเหขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่วิกรมสิงเหเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของศรีลังกามาแล้วกว่า 6 ครั้ง
ตลอดการเป็นนายกรัฐมนตรีของศรีลังกา วิกรมสิงเหถูกประชาชนกล่าวหาว่าคอยปกป้องตระกูลราชปักษา จากข้อกล่าวหาเรื่องกรณีทุจริต และพยายามปูทางให้ตระกูลราชปักษากลับมาครองอำนาจในศรีลังกาอีกครั้ง ทั้งนี้ วิกรมสิงเหเคยให้สัญญากับประชาชนว่าตนจะยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ประชาชนเข้ายึดและเผาบ้านพักส่วนตัวของตน แต่การลาออกใดๆ กลับไม่เคยเกิดขึ้น และวิกรมสิงเหเองกลับเข้าสาบานตนเพื่อดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี ก่อนการได้รับเลือกโดยรัฐสภาให้เป็นประธานาธิบดีในครั้งนี้
หลังจากได้รับเลือกขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ วิกรมสิงเหกล่าวต่อรัฐสภาว่า ในขณะที่ประเทศ “แตกแยกออกจากกันตามทางของพรรค” ตอนนี้ “เวลาของการทำงานร่วมกันได้มาถึงแล้ว” ทั้งนี้ วิกรมสิงเหกล่าวมาโดยตลอดว่า การจัดการเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ของรัฐสภาจะต้องเกิดขึ้น ในขณะที่ตนเรียกผู้ประท้วงในหลายโอกาสว่าเป็นพวก “ฟาสซิสต์”
ในระหว่างการเป็นรักษาการประธานาธิบดี วิกรมสิงเหยังได้สั่งเดินหน้าการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน พร้อมยังได้ขอให้กองทัพทำ “อะไรก็ได้เท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย” ของประเทศ การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของวิกรมสิงเหจะยิ่งทำให้การเมืองของศรีลังกาตกลงสู่วิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่มา: