กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ (IMF)ตกลงข้อเสนอปล่อยเงินกู้ให้แก่ปากีสถานจำนวน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในระยะเวลา 39 เดือน เพื่อนำไปปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของปากีสถาน
แถลงการณ์ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ปากีสถานกำลังเผชิญหน้ากับการความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมไปถึงสถานะของประเทศที่กำลังอ่อนแอ ซึ่งปัจจบุันปากีสถานกำลังเผชิญกับวิกฤตงบทางการเงินในการชำระหนี้กับเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาภายในประเทศ ซึ่งไอเอ็มเอฟประเมินว่า เศรษฐกิจของปากีสถานในปีนี้จะเติบโตเพียงแค่ 2.9 เปอรืเซ็นเท่านั้นเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในปี 2018 ที่ขยายตัว 5.2 เปอร์เซ็นต์
อับดุล ฮาฟรีซ เชค ที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีปากีสถานกล่าวว่า ปัจจุบันดอกเบี้ยจากหนี้ของต่างประเทศนั้นสูงถึง 90,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และภาคการส่งออกติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปาสถานจะได้รับเงินจากไอเอ็มเอฟ จำนวน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 2-3,000 ล้านดอลลารืสหรัฐฯจากธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียภายใน 3 ปีข้างหน้านี้
ไอเอ็มเอฟ ระบุว่าโปรแกรมปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของปากีสถานมีเป้าหมาย เพื่อปรับปรุงรายรับให้แก่รัฐบาลและลดงการจัดเก็บภาษีขั้นพื้นฐานที่ขาดดุลของรัฐบาล ซึ่งจะรวมไปถึงภาระทางการเงินที่เกิดจากการพัฒนา โดยเงินทุนจากไอเอ็มเอฟ นี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นGDPของปากีสถานได้ 0.6 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ในโปรแกรมดังกล่าวจะรวมไปถึงการปรับโครงสร้างและนโยบายการจัดเก็บภาษีของปากีสถานอีกด้วย
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาการเข้าโครงการของไอเอ็มเอฟ ของปากีสถานนับเป็นครั้ง13 ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ และปากีสถานเคยได้รับการช่วยเหลือทางด้านการเงินจากไอเอ็มเอฟ มาแล้ว 2 ครั้งในปี 1988 โดยกุ้ยืมเงินจำนวน 18,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2013 กุ้ยืมเงินจำนวน 6,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีของปากีสถานได้หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งที่ผ่านมาจีนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของปากีสถานเป็นจำนวนมากภายใต้ยุทธศาสตร์แถบและทาง (Belt and Road Initiative) ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีฯกล่าวว่า "จีนเปรียบเสมือนลมหายใจที่สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ซึ่งจีนได้ให้ความช่วยเหลือปากีสถานเป็นอย่างมากที่ผ่านมา"