กลายเป็นที่ถกเถียงในโลกโซเชียลมีเดียจีนอย่างกว้างขว้าง หลังเกิดเหตุการณ์กราดยิงมัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 มี.ค. 2562) มีผู้เสียชีวิต 50 ราย และบาดเจ็บอีก 48 คน ทางการนิวซีแลนด์ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา 3 ราย แต่ผู้ที่ก่อเหตุหลัก คือ เบรนตัน ทาร์แรนต์ ชาวออสเตรเลีย อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นคนเผยแพร่วิดีโอขณะกราดยิงผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์
แต่สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้เป็นที่ถกเถียงในโซเชียลมีเดียจีน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ ทาร์แรนต์ได้โพสต์คำแถลงการณ์ของตัวเองในประเด็น 'ความเป็นชาตินิยมผิวขาว' ความยาวกว่า 70 หน้ากระดาษ โดยมีส่วนหนึ่งกล่าวถึงคุณค่าทางการเมืองและค่านิยมในเชิงวัฒนธรรมของจีน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องเชื้อชาตินิยม
ไมเคิล อันตี้ นักข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวไชซิน (Caixin) แสดงความเห็นต่อข้อความของทาร์แรนต์ในบัญชีทวิตเตอร์ว่าเหตุจูงใจที่ทำให้ผุ้ก่อเหตุรายนี้กราดยิงมัสยิดนั้น มาจากความเชื่อและความคิดที่เขาสมาทานกับแนวคิดแบบฟาสซิสม์ หรือ ชาตินิยมแบบจีน โดยเฉพาะความเป็นมหาอำนาจของจีนและการรวมชาติให้ได้เป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาลจีน (one nation, one country)
这是新西兰屠穆枪手污蔑性赞扬中国的原文。我觉得中国对外宣传要多宣传中国自己的困难,否则会吸引一群神经病瞎崇拜中国。 pic.twitter.com/MY853ueQTP
— Michael Anti (@mranti) March 15, 2019
ขณะที่ผู้ใช้งานเว่ยป๋อหลายรายเข้ามาแสดงความเห็นต่อข้อความของทาร์แรนต์ หลายรายได้กล่าวว่า ความเห็นของทาร์แรนต์ที่ระบุว่าเขาสมาทานความคิดความเชื่อเข้ากับค่านิยม อุดมการณ์ทางการเมือง และวัฒนธรรมแบบจีนนั้น ทำให้จีน 'เสียชื่อเสียง' ขณะที่บางรายระบุว่า การกระทำของทาร์แรนต์นั้นไม่ใช่อุดมการณ์หรือค่านิยมของวัฒนธรรมจีน
นอกจากนี้ชาวเน็ตจีนบางรายยังวิจารณ์ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลและสื่อตะวันตกสร้างภาพลบให้กับจีนมายาวนาน โดยเฉพาะการจัดการกับมุสลิมในเขตซินเจียงที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่า 'มันคือสิ่งที่จีนเป็น' ทำให้ผู้ก่อเหตุในนิวซีแลนด์รายนี้สมาทานคุณค่าและความเชื่อดังกล่าวโดยคิดว่าเป็นค่านิยมของจีน
ในเว่ยป๋อ สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมของจีน ผู้ใช้หลายคนต่างเข้ามาประณามชาติตะวันตกที่มองจีนในแง่ลบตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องมุสลิมในซินเจียง ผู้ใช้งานเว่ยป๋อหลายรายกล่าวว่า ภาพที่สื่อตะวันตกนำเสนอนั้น พยายามสื่อให้เห็นว่าจีนนั้นต่อต้านชาวมุสลิม
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนถูกตั้งคำถามจากนานาชาติถึงการจัดการกับชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง โดยรายงานของสหประชาชาติระบุว่า รัฐบาลจีนได้คุมขังชาวอุยกูร์นับล้านคนในเขตปกครองตนเองซินเจียง พร้อมส่งเข้าค่ายปรับทัศนคติทางการเมือง ขณะที่จีนได้ออกมาปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า จีนให้สิทธิชาวอุยกูร์ในการนับถือศาสนาอย่างเต็มที่ แต่จีนยอมรับว่าได้มีการจัดตั้งโครงการปรับทัศนคติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกกลุ่มสนับสนุนแนวคิดสุดโต่งด้านศาสนาปลูกฝังความเชื่อที่ผิดๆ ให้ต่อต้านรัฐบาล
รัฐบาลจีนย้ำว่าโครงการดังกล่าวมีความจำเป็น เพราะเหตุก่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองซินเจียง ล้วนมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นกลุ่มที่มีแนวความคิดสุดโต่งด้านศาสนาทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มี.ค.2562 รัฐบาลจีนเปิดรายงานเกี่ยวกับการจัดการกลุ่มผุ้ก่อความไม่สงบในเขตซินเจียง โดยระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2557 ทางการจีนได้จับกุมตัวผู้ก่อการร้ายที่เป็นกลุ่มมุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่งทางตะวันตกของซินเจียงไปแล้วกว่า 13,000 คน
ทางการจีนยังกล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2557 เจ้าหน้าที่ในซินเจียงสามารถทลายกลุ่มก่อการร้ายและผู้ที่ใช้ความรุนแรงได้ 1,588 กลุ่ม จับผู้ก่อความไม่สงบได้ 12,995 คน ตรวจพบวัตถุระเบิดอีกกว่า 2,052 ชิ้น จับกุมประชาชน 30,645 คนและนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางศาสนาที่ผิดกฎหมาย 4,858 คน และทำลายเอกสารที่ขัดต่อกฎหมายอีก 345,229 ชิ้น
ที่มา LA times / What’s on Weibo/ CNA
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: