ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากลได้วิเคราะห์แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเก็บข้อมูลส่วนตัวของคนกลุ่มน้อย เช่น ชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์และคาดเดากิจวัตรประจำวันรวมถึงแรงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ของคนในพื้นที่ และ "สร้างและควบคุมความเป็นจริง"
รายงานฉบับนี้ระบุว่า แอปฯ นี้จะเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการร่วม (IJOP) โปรแกรมตรวจตรารักษาความสงบของซินเจียง ซึ่งโปรแกรมนี้จะรวบรวมข้อมูลของประชาชนในพื้นที่ และหมายหัวคนที่อาจเป็นภัยคุกคามของรัฐบาลจีน โดย IJOP เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายขนาดใหญ่สำหรับการสอดส่องประชาชนในพื้นที่คนต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง รวมถึงการตั้งด่านตรวจจำนวนมากพร้อมด้วยเครื่องสแกนใบหน้าและกล้องวงจรปิดสอดส่องภายในบ้าน
การเก็บข้อมูลประเภทกรุ๊ปเลือด ส่วนสูง และความเชื่อทางศาสนาเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2016 และเป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามคนที่ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจีนได้เฝ้าดูทุกแง่มุมของชีวิตคนที่อยู่ในซินเจียงอุยกูร์ โดยเจ้าหน้าที่จะเข้าไปสอบสวนคนที่อาจ “ไม่น่าไว้ใจ” และส่งเข้าไปในค่ายปรับทัศนคติ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า ระบบและแอปพลิเคชัน IJOP ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทลูกของ China Electronics Technology Group Corporation ซึ่งกองทัพจีนเป็นเจ้าของ และบริษัท Cure53 บริษัทด้านความมั่นคงในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีได้ช่วยทำวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อค้นหาโครงสร้าง หน้าที่การทำงานของแอปพลิเคชัน IJOP เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับรายงานนี้
จากการศึกษาพบว่า แอปฯ นี้จะมุ่งเป้าไปที่คนที่น่าเฝ้าระวังเป็นพิเศษ 36 ประเภท ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร เช่น คนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนบ้าน ไม่ค่อยเข้าออกด้วยประตูหน้าบ้าน กลับบ้านเกิดกะทันหันหลังจากที่ย้ายไปอยู่ที่อื่นมาเป็นเวลานาน ตั้งใจรวบรวมเงินหรือสิ่งของไปให้มัสยิดอย่างแข็งขัน ใช้ไฟฟ้าในบ้านมากเกินไป หรือมีคนรู้จักในต่างประเทศ คนเหล่านี้ก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง
หลังจากนั้น แอปฯ นี้จะช่วยในปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนบุคคลต้องสงสัยต่อไป จะมีการเก็บข้อมูลส่วนตัวให้ลึกขึ้น เช่น อาจมีการตรวจสอบโทรศัพท์ของบุคคลต้องสงสัย เพื่อหาว่ามี 51 แอปฯ ต้องสงสัยอย่างวอทส์แอป ไลน์ เทเลแกรม และเครือข่ายเสมือนส่วนตัวหรือ VPN เพื่อแอบเข้าแอปฯ และเว็บไซต์ที่ทางการจีนบล็อกไว้
รายงานระบุว่า IJOP ยังอาจเก็บข้อมูลยานพาหนะของบุคคลนั้นได้ทั้งสี รุ่นและเลขทะเบียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็จะทำให้กล้องวงจรที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์สามารถติดตามว่ารถคันนั้นเดินทางไปไหน โดยฮิวแมนไรทืวอทช์ระบุว่า เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายของประชาชนในพื้นที่ถูกจำกัดในระดับที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับระดับของการถูกต้องสงสัยว่าเป็นภัยคุกคาม ที่ถูกคำนวณจากปัจจัยต่างๆ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ประเมินว่ามีชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมเชื้อสายเติร์กอื่นๆ จำนวนประมาณ 1 ล้านคนถูกขังอยู่ในค่ายปรับทัศนคติทางการเมืองของจีน ซึ่งจะมีการสอนแนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์และบังคับให้เลิกนับถือศาสนา แม้จีนจะอ้างว่าค่ายเหล่านี้เป็น “ศูนย์ฝึก” ที่คนเข้าไปอย่างสมัครใจ คล้ายกับโรงเรียนประจำ แต่คนที่รอดออกมาจากค่ายนี้ระบุว่า ค่ายนี้มีการล้างสมอง ทรมาน และละเมิดสิทธิคนที่ถูกขังอยู่ในนั้น
ที่มา: Human Rights Watch, The Guardian, Al Jazeera
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: