ทางการนิวซีแลนด์ประกาศว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่มัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ชรวม 49 ราย และบาดเจ็บอีก 48 คน โดยเหตุกราดยิงเกิดขึ้นที่มัสยิดอัลนูร์และลินวูดในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ชาวมุสลิมเดินทางไปละหมาดกันจำนวนมาก

จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์กล่าวว่า เหตุกราดยิงนี้เป็น "การก่อการร้าย" รุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนิวซีแลนด์ พร้อมแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และระบุว่า "นี่เป็นหนึ่งในวันที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิวซีแลนด์"

อาร์เดนกล่าวว่า คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุกราดยิงครั้งนี้หลายคนอาจเป็นผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยในนิวซีแลนด์ พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกันกับนิวซีแลนด์ แต่คนที่ก่อเหตุรุนแรงไม่ใช่ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวมีทั้งหมด 3 คน จากเดิมที่ตำรวจแถลงว่ามีทั้งหมด 4 คน แต่ตำรวจไม่ได้ชี้แจงเหตุผลที่จำนวนผู้ต้องสงสัยลดลง ขณะที่การตรวจค้นรถยนต์ของผู้ต้องสงสัยก็พบวัตถุระเบิด 2 ชิ้น

• ชาวมุสลิมในบังกลาเทศสวดภาวนาแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุกราดยิงมัสยิดที่นิวซีแลนด์

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ทั้งนี้ 1 ใน 3 ผู้ต้องสงสัยเป็นชาวออสเตรเลียด้วย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังเปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม และเตรียมขึ้นศาลในวันพรุ่งนี้ (16 มี.ค.)

ด้านทางการนิวซีแลนด์ได้ปรับระดับการเฝ้าระวังภัยคุกคามจากระดับต่ำเป็นระดับสูงแล้ว ประชาชนในเมืองไครสต์เชิร์ชยังคงได้รับคำแนะนำไม่ให้ออกจากบ้านเรือน และให้อยู่ห่างมัสยิดจนกว่าจะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่

ขณะนี้ ตำรวจนิวซีแลนด์ได้กระจายกันไปเฝ้าระวังความปลอดภัยสถานที่สำคัญต่าง ทั้งศาลและโรงพยายบาลในเมืองไครสต์เชิร์ช เนื่องจากเจ้าหน้าที่กังวลว่า กลุ่มขวาจัดจะวางแผนโจมตีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีมัสยิดที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

ก่อนหน้าจะเกิดเหตุกราดยิง มีการโพสต์ลิงค์ไปยังกลุ่มชาตินิยมผิวขาวลงบนทวิตเตอร์และฟอรั่ม 8chan และบนฟอรั่ม 8chan ยังมีการโพสต์ลิงค์ไปยังเพจเฟซบุ๊กของมือกราดยิงที่เผยแพร่การก่อเหตุผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์

คลิปวิดีโอความยาว 17 นาทีถูกโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย โดยสันนิษฐานว่าถ่ายมาจากกล้องบนหมวกกันน็อคของมือกราดยิง ในคลิปเผยให้เห็นมือกราดยิงนั่งอยู่บนรถ แล้วจอดหน้ามัสยิดอัลนูร์ ก่อนจะเดินถือปืนเข้าไปกราดยิงอยู่ตรงหน้าประตูมัสยิดนานเกือบ 2 นาที ก่อนจะขึ้นรถไปหยิบปืนอีกกระบอก แล้วมาจ่อยิงผู้คนต่อ

ที่มา : The Guardian, The New York Times