ผลงานภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงมักได้รับการพูดถึง และอาจกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงทางสังคมเกี่ยวกับกรณีนั้น ๆ อย่างที่ล่าสุด When They See Us มินิซีรีส์เรื่องใหม่ ทำให้สังคมสหรัฐฯ ตั้งคำถามกับอคติในระบบยุติธรรมและ 'การยัดข้อหา' ของเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฮอลลีวูดพูดถึงมินิซีรีส์ When They See Us ที่เพิ่งพรีเมียร์ทาง Netflix อย่างมาก ไม่ใช่แค่เพราะว่าเป็นผลงานของผู้กำกับหญิงฝีมืออย่าง เอวา ดูเวอร์เนย์ เท่านั้น แต่เป็นการรื้อฟื้นคดีสำคัญในประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมสหรัฐฯ มาบอกเล่าอีกด้วย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คดีที่กันเรียกกันติดปากว่า Central Park Five ครั้งนั้น ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของระบบตุลาการ และเผยให้เห็นแนวทางคนผิวขาวเป็นใหญ่ที่เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากยึดถือ ทั้งในยุคนั้น จนมาถึงยุคนี้ เท่ากับว่ามินิซีรีส์ When They See Us กำลังย้ำเตือนถึงอันตรายของอคติต่อคนต่างสีผิว และการผลักคนที่แตกต่างให้กลายเป็น 'คนอื่น' เป็น 'ศัตรู' อย่างที่รัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำอยู่ด้วย
คดี Central Park Five เกิดขึ้นเมื่อปี 1989 โดยเด็กและวัยรุ่นผิวสีรวม 5 คน ถูกตำรวจจับ หลังมีหญิงสาวผิวขาววิ่งจ๊อกกิงในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กแล้วหายตัวไป จนถูกพบในสภาพเปล่าเปลือยและใกล้เสียชีวิต ซึ่งทั้ง 5 คน ถูกลิดรอนสิทธิ์มากมาย ผ่านการสอบสวนที่ไม่ชอบธรรม โดยไม่มีการเรียกทนายหรือผู้ปกครองอย่างถูกต้องตามระเบียบ จนที่สุดแล้ว เด็กชาย วัย 14 ถึง 16 ปี ณ ขณะนั้น 4 คน เป็นเด็กผิวดำ อีก 1 คน เป็นฮิสแปนิก ต้องขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก แบ่งเป็นคุกเด็กและคุกผู้ใหญ่ตามอายุ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานระบุว่าพวกเขาเป็ฯคนลงมือเลยก็ตาม
ความต้องการปิดคดีของเจ้าหน้าที่ในสมัยนั้น ประกอบกับอคติที่ว่าเด็กชายผิวสีจากย่านฮาร์เล็มต้องเป็นหนึ่งในตัวการของปัญหาสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดการบังคับขู่เข็ญ และลงมือซ้อม จนเด็กทั้งหมดยอมรับสารภาพในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ ทั้งในรูปแบบวิดีโอเทปที่ผ่านการตัดต่อ และเอกสารลายลักษณ์อักษรที่พวกเขาไม่ได้เขียนเอง
ครั้งนั้น สังคมที่เจริญแล้ว แม้แต่ในสหรัฐฯ ยังไม่มีการเคารพสิทธิผู้ต้องหาหรือสิทธิมนุษยชนทั่วไปเท่าที่ควร ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของเด็ก ๆ เหล่านี้จึงถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อ ทำให้ครอบครัวของพวกเขาถูกรังแกและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น นักธุรกิจดังจากนิวยอร์กอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นแกนนำเรียกร้องโทษประหาร ด้วยการลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ สร้างความเกลียดชังต่อตัวพวกเขามากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดรับโทษในเรือนจำตั้งแต่ 6 ถึง 13 ปี ก่อนที่ผู้ลงมือตัวจริงจะรับสารภาพ ว่าความจริงแล้วคดีในเซ็นทรัลพาร์กมีตัวเขาเป็นผู้กระทำผิดเพียงคนเดียว ซึ่งก่อนที่ทั้ง 5 คน จะได้รับการปล่อยตัวและลบบันทึกอาชญากรรมไปในปี 2002 นั้น ชีวิตวัยรุ่นของพวกเขาก็หมดไปอย่างไม่มีทางเรียกคืนได้แล้ว ต่อมาในปี 2004 ทางการนิวยอร์กยอมจ่ายค่าเสียหาย หลังถูกฟ้อง รวมเป็นเงิน 41 ล้านดอลลาร์ หรือ 1,300 ล้านบาท สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการจ่ายค่าชดเชยโดยรัฐ
เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน หลังจากที่มินิซีรีส์เพิ่งสตรีมอย่างเป็นทางการทั่วโลกไป สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน หรือ ACLU ก็มอบรางวัลเกียรติยศให้กับทั้ง 5 คน โดยมี ยูเซฟ ซาลาม เป็นตัวแทนรับมอบบนเวที ขณะที่ แอนทรอน แมคเครย์ , เควิน ริชาร์ดสัน , เรย์มอนด์ ซานทานา และคอรีย์ ไวส์ ก็มาร่วมงานอย่างพร้อมหน้า
ซาลาม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเมื่อ 30 ปีก่อนว่า 'พวกเราเป็นเด็กกันอยู่ทั้งนั้น และระบบก็ย่ำยีเรา' ขณะที่ นักแสดง โจชัว แจ็กสัน ผู้รับบทเป็นหนึ่งในทนายของฝ่ายจำเลยในมินิซีรีส์เรื่องใหม่นี้ และมาร่วมงานด้วย ก็ได้กล่าวถึงความสำคัญของคดี Central Park Five และบทเรียนที่ตามมาว่า 'การกระทำของตำรวจ สื่อ และประชาชนในคดีนั้น เป็นบาดแผลตกสะเก็ดที่ต้องถูกแกะเกาขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของทรัมป์'
When They See Us ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม ทั้งในฐานะผลงานสะท้อนสังคมที่ทรงพลัง และการเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามต่อระบบยุติธรรมสหรัฐฯ ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังอาจเต็มไปด้วยอคติและช่องโหว่