คดีพลิกครั้งใหญ่ เมื่อ 'จัสซี สมอลเลตต์' นักแสดงอเมริกันเกย์ผิวสี ถูกจับฐานจัดฉากว่าถูกทำร้ายเพราะ Hate Crime เพื่อหวังขึ้นค่าตัว ซึ่งการกระทำครั้งนี้ถือว่าเป็นการเหยียดหยามเหยื่อของ Hate Crime ตัวจริง และเปลืองทรัพยากรภาครัฐในการตรวจสอบคดีที่ไม่มีมูลความจริง

รายงานล่าสุดชี้ว่า นักแสดงอเมริกัน 'จัสซี สมอลเลตต์' จากซีรีส์ดัง Empire ซึ่งได้รับความนิยมต่อเนื่องมา 5 ซีซัน ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาให้การเท็จ หลังจากที่ เขาระบุว่าเมื่อคืนวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา ได้ถูกชาย 2 คน ทำร้ายอย่างทารุณ และถือเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือ Hate Crime เนื่องจากเขาเป็นคนผิวสีและระบุว่าเพศสภาพว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจชิคาโกสอบสวนลึกลงไป กลับพบว่าชาย 2 คน ที่ทำร้ายสมอลเลตต์ ได้รับการจ้างวานจากตัวสมอลเลต์เอง ด้วยเงิน 3,500 ดอลลาร์ หรือเกือบ 110,000 บาท

ล่าสุด แถลงการณ์ของกรมตำรวจชิคาโกระบุว่า สมอลเลตต์ทำไปเพราะไม่พอใจสถานะทางการแสดงและรายได้ของตัวเอง และหวังว่าการทำตัวเป็นเหยื่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง ทั้งเหยียดสีผิวและเหยียดเพศ เช่นนี้ จะช่วย 'อัปโปรไฟล์' หรือก็คือ ทำให้ตัวเขามีหน้ามีตามากขึ้น นำไปสู่ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งตัวแทนกรมตำรวจชิคาโก เอ็ดดี จอห์นสัน ระบุว่า สมอลเลตต์หาประโยชน์จากความขมขื่นและโกรธขึ้งของประเด็นการเหยียดสีผิว มาทำให้ตัวเองก้าวหน้าในวิชาชีพ ซึ่งนอกจากนักแสดงวัย 36 ปีคนนี้ จะจ้างวานผู้ก่อเหตุให้ทำร้ายตัวเองแล้ว ยังได้ลงมือส่งจดหมายเหยียดสีผิวถึงตัวเองที่สตูดิโอของ ฟอกซ์ ผู้ผลิตซีรีส์ Empire อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ สมอลเลตต์พูดถึงคืนวันเกิดเหตุว่า เขาออกจากบ้านไปซื้ออาหารและพบชาย 2 คน เข้ามาด่าทอด้วยคำพูดเหยียดสีผิวและเหยียดเพศ จากนั้นได้ต่อย แล้วเทสารเคมีใส่ ก่อนจะนำเชือกมารัดคอ เพื่อให้ขาดอากาศและทรมาน นอกจากนี้ สมอลเลตต์ยังระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ลงมือกล่าวกับเขาว่า 'ที่นี่คือประเทศ "มากา" (MAGA)' หรือก็คือตัวย่อของ Make America Great Again สโลแกนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ใช้ในการหาเสียง

ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอในข่าวบันเทิงโดยสำนักข่าวทั่วฮอลลีวูด รวมถึงถูกนำเสนอในฐานะข่าวอาชญากรรม ที่ตอกย้ำความแตกแยกของสหรัฐฯ ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้อย่างดี แต่กระนั้น ทั้งนายทรัมป์เอง และเพื่อนนักแสดงจาก Empire ก็ออกมาให้กำลังใจ และประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุ รวมถึงสำนักข่าวระดับโลกหลายช่องก็ได้สัมภาษณ์พิเศษสมอลเลตต์ถึงเหตุดังกล่าว ทั้งยังชื่นชมในการยืนหยัดต่อสู้ต่อความเกลียดชังของเขาด้วย

ทั้งนี้ กรมตำรวจชิคาโกระบุเพิ่มเติมเมื่อวานนี้ว่า ร่องรอยการถูกทำร้ายเล็กน้อยบนใบหน้าของสมอลเลตต์น่าจะเป็นรอยขีดข่วนที่เขาทำตัวเอง มากกว่าจะเป็นรอยที่เกิดจากเหตุการณ์จัดฉากครั้งนั้น โดยผู้กำกับการจอห์นสัน ซึ่งเป็นตำรวจผิวสีด้วย ได้ตั้งคำถามระหว่างแถลงต่อสื่อมวลชนว่า 'ผมคิดกลับไปกลับมาตลอด ว่าทำไมใครสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายแอฟริกันอเมริกัน ถึงต้องใช้สัญลักษณ์การรัดคอเป็นเครื่องมือในสร้างสถานการณ์ด้วย ทำไมถึงต้องใช้การกระทำที่บ่งชี้ความเกลียดชังและการทรมานเช่นนั้นในการสร้างโปรไฟล์ให้กับตัวเองด้วย?'

ขณะที่ เมื่อวานก็เป็นวันที่สมอลเลตต์ต้องไปรายงานตัวต่อศาล และวางเงินทัณฑ์บนเป็นจำนวน 10,000 ดอลลาร์ หรือ 312,000 บาท รวมถึงต้องสละหนังสือเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อรับประกันว่าตัวเขาจะไม่เดินทางออกนอกประเทศ โดยที่อนาคตทางการแสดงของเขาหลังจากนี้ยังไม่ชัดเจน และผู้สร้างซีรีส์ดังก็กำลังพิจารณาว่าจะพักงานเขาหรือไม่

เมื่อวานนี้เช่นกัน ที่สำนักข่าว CNN นำเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์ในประเด็นนี้ โดยระบุว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแจ้งความเท็จทั่วไป แต่เป็นการเหยียดหยาม 'เหยื่อตัวจริง' ของความรุนแรงในลักษณะนี้ และยังเป็นการหาประโยชน์จากบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบันในการสร้างความแตกแยกให้กับสังคมยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนั้น ยังถือเป็นความพยายามในการ 'ป้ายสี' กรมตำรวจ และสร้างปัญหาให้กับตำรวจชิคาโกทางอ้อมด้วย

ทั้งนี้ ตำรวจในสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ผิวสีอยู่บ่อยครั้ง และเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีการกล่าวโทษหรือจัดการกับกรณีเหยียดสีผิวอย่างไม่โปร่งใสเท่าไร ทำให้การกระทำครั้งนี้เหมือนเป็นการ 'วัดใจ' ว่าเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไร จะเร่งจับกุมหรือสอบสวนผู้ก่อเหตุหรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความหลอกลวงทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตำรวจชิคาโกต้องใช้ทรัพยากรไปกับการสอบสวนคดีนี้ ซึ่งเป็นที่สนใจเนื่องจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้มีชื่อเสียง นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ยังถือเป็นการดึงทรัพยากรไปจากคดีที่ควรจะต้องได้รับการจัดการจริง ๆ อีกด้วย การแจ้งความเท็จของสมอลเลตต์ เพียงเพื่อต้องการเพิ่มค่าตัวจึงเป็นสิ่งที่สร้างบาดแผล ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับชุมชนคนผิวสี และเหยื่อตัวจริงในสังคม