เจฟฟ์ เบซอส อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกเจ้าของแอมะซอน ทำเงินเพิ่มอีก 60,000 ล้านดอลลาร์ใน 1 ปี ส่งผลให้เขามีทรัพย์สินรวมมากกว่าประเทศยากจน 48 ประเทศรวมกัน
หลังจากที่นายเจฟฟ์ เบซอส CEO ของบริษัทแอมะซอน ได้ขึ้นแท่นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกโดยการจัดอันดับล่าสุดของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก โดยมูลค่าทรัพย์สินที่เจฟฟ์ เบซอส ถือครองนั้น ได้เพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 2 ล้านล้านบาทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน เขามีทรัพย์สินรวม 150,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5 ล้านล้านบาท และทำให้เบซอสไม่ใช่แค่รวยกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่เขายังรวยกว่าหลาย ๆ ประเทศในโลกด้วย
นอกจากจะรวยกว่ามหาเศรษฐีคนอื่นในโลกแล้ว เบซอสยังรวยกว่าหลาย ๆ ประเทศในโลกอีกด้วย เมื่อเทียบกับจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เช่น ยูเครน คูเวต ศรีลังกา โมร็อกโค เคนยาเวเนซุเอลาแองโกลา เป็นต้น
โดยถ้าเปรียบความร่ำรวยของ เจฟฟ์ เบซอส เป็นจีดีพีของประเทศ "ประเทศเบซอส" นี้จะมีจีดีพีอยู่ที่อันดับที่ 58 ของโลก ถัดจาก ฮังการี ซึ่งมีจีดีพีอยู่ที่ 160,000 ล้านดอลลาร์นอกจากนี้แล้วมูลค่าทรัพย์สินของเขายังมีมากกว่าจีดีพีของ 48 ประเทศที่ยากจนที่สุดรวมกันเสียอีก โดยมูลค่าจีดีพีของทั้ง 48 ประเทศนั้นมีมูลค่ารวมกันเพียง 140,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ในขณะที่เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ราว 480,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 16 ล้านล้านบาท เท่ากับว่ามูลค่าทรัพย์สินของเบซอสคิดเป็น 1 ใน 4 ของจีดีพีของประเทศไทย และยังเป็นจำนวน 2 ใน 3 ของงบประมาณปี 2562 ที่รัฐบาลตั้งกรอบไว้กว่า 3 ล้านล้านบาท
สำหรับที่มาความร่ำรวยมหาศาลของ เจฟฟ์ เบซอส นอกจากจะเป็นรู้จักโดยทั่วไปว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งแอมะซอน เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่และบลู ออริจิน บริษัทที่บุกเบิกเรื่องการท่องเที่ยวอวกาศในเชิงพาณิชย์แล้ว เจฟฟ์ เบซอสยังได้ซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่าง วอชิงตันโพสต์ ขึ้นแท่นเป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการอีกด้วย
แอมะซอนของเบซอสยังเข้าซื้อกิจการอีกหลายอย่างเพื่อต่อยอดธุรกิจและขยายการให้บริการของแอมะซอนให้ครอบคลุมมากขึ้น อย่างโฮลด์ ฟูดส์ กิจการค้าปลีกที่มี 460 สาขาทั่วโลก ซึ่งช่วยบริการส่งอาหารสดของแอมะซอนอย่าง แอมะซอน เฟรช มีประสิทธิภาพมากขึ้น, รวมถึง อเล็กซาแพลตฟอร์มอัจริยะที่สั่งงานและตอบโต้ด้วยเสียง, ทวิตช์บริการไลฟ์ตรีมมิงถ่ายทอดสดทางเว็ปไซต์ และอีกหลากหลายกิจการ
นอกจากนี้ เบซอสยังเข้าไปลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นในอีกหลายบริษัทมากมาย เช่น ทวิตเตอร์ แอปฯ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง,ลีฟวิงโซเชียล เว็ปไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์, เกรล สตาร์ตอัปที่พัฒนาอุปกรณ์ตรวจเลือดตรวจหาโรคมะเร็ง,แอร์-บีเอ็นบีสตาร์ทอัพแบ่งปันที่พักชื่อดัง ยังมีอูเบอร์และกูเกิ้ลอีกด้วย รวมไปถึงธุรกิจหรือสตาร์ตอัปอีกหลายสิบบริษัท จึงเป็นที่มาของรายได้มหาศาลจนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้นั่นเอง