เฟซบุ๊กช่วยให้การบริจาคเลือดสะดวกขึ้น
เฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้การบริจาคเลือดเป็นเรื่องที่สะดวกและง่ายดายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถระบุในบัญชีเฟซบุ๊กว่าต้องการบริจาคเลือดหรือไม่ หากใครที่ระบุว่าใช่ เฟซบุ๊กก็จะแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานทันที หากพบว่ามีศูนย์บริจาคเลือดทั้งแบบถาวรหรือเคลื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานในสหรัฐฯ 5 เมือง คือ วอชิงตันดีซี นิวยอร์ก ชิคาโก ซานฟรานซิสโก และบัลติมอร์ ก่อนจะขยายครอบคลุมทั่วประเทศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เคต ฟราย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของศูนย์โลหิตอเมริกา แสดงความคิดเห็นว่า ในอนาคต แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนจะให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริจาคเลือดมากยิ่งขึ้น ด้วยการเชื่อมต่อผู้บริจาคกับศูนย์บริจาคที่อยู่ใกล้ที่สุด รวมทั้งการรณรงค์ให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของการบริจาคเลือดด้วย
การบริจาคเลือดเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่หลายคนทำได้โดยไม่มีต้นทุน แต่แม้ว่าคนตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนและหันมาบริจาคมากขึ้น หลายประเทศกลับยังมีเลือดสำรองไม่เพียงพอ เนื่องจากเลือดที่บริจาคจะมีอายุการใช้งาน และจำเป็นต้องได้เลือดที่ใหม่เข้ามาเก็บสำรองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งเฟซบุ๊กเชื่อมั่นว่าฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้มีการบริจาคเลือดเพิ่มมากขึ้น
แผนขึ้นอันดับ 1 ของหัวเว่ยอาจล่าช้า
หัวเว่ย แบรนด์สมาร์ตโฟนที่มียอดขายอันดับ 2 ของโลกในขณะนี้ เคยประกาศเอาไว้ว่าจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แซงหน้าซัมซุงให้ได้ภายในปี 2020 แต่ว่าล่าสุด นายเซา หยาง (Shao Yang) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของหัวเว่ย ออกมายอมรับว่าแผนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของหัวเว่ย อาจจะทำได้สำเร็จช้ากว่ากำหนด จากสถานการณ์ที่หัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐฯ แบน และห้ามบริษัทอเมริกันทำธุรกิจกับหัวเว่ย จนอาจทำให้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้ในอนาคต
หยางเปิดเผยว่า ตอนนี้ หัวเว่ยมียอดขายสมาร์ตโฟนทั่วโลกเฉลี่ยวันละ 500,000 ถึง 600,000 เครื่อง และหัวเว่ยเคยคาดว่าปีนี้จะขายสมาร์ตโฟนเพิ่มจากปีที่แล้ว 120 ล้านเครื่อง ซึ่งเพียงพอต่อการขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนซัมซุง แต่ด้วยสงครามการค้ากับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทำให้กำหนดการทุกอย่างต้องเลื่อนออกไป อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยยังคงตั้งเป้าจะขึ้นมาเป็นสมาร์ตโฟนยอดขายอันดับ 1 ให้ได้เหมือนเดิม
ปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนของซัมซุงมียอดขายทั่วโลก 292 ล้าน 3 แสนเครื่อง ส่วนหัวเว่ยมียอดขาย 206 ล้านเครื่อง แม้จะยังมีส่วนต่างกันมากถึง 86 ล้าน 3 แสนเครื่องก็ตาม แต่หัวเว่ยมีอัตราการเติบโต 33.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยอดขายของซัมซุงลดลงอยู่ที่ ลบ 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากหัวเว่ยสามารถหาข้อยุติความขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ ก็อาจทำให้แผนที่วางไว้เป็นไปตามเป้าหมายเร็วขึ้นหรือตามกำหนดเดิม
DJI เผยรถบังคับสอนเขียนโปรแกรม
DJI ผู้ผลิตโดรนชื่อดังจากประเทศจีน เปิดตัวสินค้าใหม่ซึ่งไม่ใช่โดรน แต่เป็นรถบังคับที่มีชื่อว่า RoboMaster S1 ซึ่งไม่ใช่ของเล่นธรรมดา แต่เป็นรถบังคับเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมและโค้ดดิงสำหรับเด็ก โดยผู้เล่น สามารถบังคับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีหน้าตาคล้ายรถถังขนาดเล็ก และมีปืนเลเซอร์ติดที่ด้านบน ผ่านการควบคุมพื้นฐานบนสมาร์ตโฟน ซึ่งนอกจากการเดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แล้ว ยังสามารถเคลื่อนที่แนวขวาง หรือ ดริฟต์ ได้ด้วย แต่หากผู้เล่นต้องการให้ RoboMaster S1 วิ่งผ่านสิ่งกีดขวางจำนวนมาก หรือทางโค้งที่สลับซับซ้อน ผู้ใช้งานต้องเรียนรู้ที่จะเขียนโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อป้อนข้อมูลให้รถบังคับวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางได้สำเร็จ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ RoboMaster S1 คือสามารถเล่นต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นด้วยการใช้ปืนเลเซอร์ที่ติดอยู่ด้านบนไล่ยิงกันได้ ซึ่งปืนเลเซอร์สามารถยิงเม็ดเยลที่ไม่เป็นอันตรายออกมารัว ๆ ได้เหมือนกระสุนจริง หากใครถูกยิงมากกว่าก็จะมีเซนเซอร์ตรวจจับ และถูกปรับให้เป็นฝ่ายแพ้ ซึ่งในส่วนนี้ ผู้เล่นก็สามารถเขียนโปรแกรมโหมดการต่อสู้ เพื่อออกแบบการวิ่งของรถและการยิงได้ด้วย
RoboMaster S1 ของ DJI จะเริ่มวางขายในจีน ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ เป็นที่แรก ด้วยราคา 499 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15,000 บาท