ไม่พบผลการค้นหา
ไมโครซอฟท์เติบโตไม่ถึงเป้าหมายของนักลงทุน ทำหุ้นตก แต่ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

เมื่อวันพุธ (30 มกราคม) ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก ออกมาแถลงผลกำไร ซึ่งพุ่งตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 12 มาแตะที่ 3.247 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.01 ล้านล้านบาท ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยการเติบโตของรายได้ครั้งนี้มาจากการให้บริการธุรกิจคลาวด์ในเชิงพาณิชย์ กระตุ้นยอดขายขึ้นมาถึงร้อยละ 48 จากเดิมที่ตัวเลขรายรับอยู่เพียง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.81 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 1.01 ล้านล้านบาทก็ยังต่ำกว่าตัวเลขเป้าหมายของนักลงทุน ส่งผลให้หุ้นของไมโครซอฟท์ตกลงประมาณร้อยละ 3 หลังมีการแถลงรายรับ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์หันมาพัฒนาธุรกิจให้บริการคลาวด์มากกว่าธุรกิจในตำนานอย่างระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โดยการเปลี่ยนเเปลงครั้งนี้ทำให้ไมโครซอฟเข้ามาอยู่ในแนวหน้าบริษัทผู้นำด้านระบบคลาวด์ได้อย่างรวดเร็วหลังบริษัทใช้เวลาหลายปีไปกับการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนและระบบค้นหาที่อาจไม่ประสบความสำเร็จมากนัก

แอเชอร์ (Azure) ระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้แข่งขันกับระบบเว็บแอมะซอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอดับเบิลยูเอส (AWS)


“เราเชื่อว่าแอเชอร์และเอดับเบิลยูเอสจะยังคงนำหน้าคู่แข่งอีกหลายก้าว แต่เราคาดว่าจะมีคู่แข่งอีกหลายรายเข้ามากระตุ้นให้สมรภูมินี้ร้อนระอุขึ้น หลังหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เริ่มหันมาสนใจมากขึ้น” แดเนียล อีฟ นักวิเคราะห์จากเว็ดบุช (Wedbush) กล่าว

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ออกมาแถลงถึงข้อตกลงระหว่างบริษัทและวอลกรีน (Walgreen) ผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายใหม่ เพื่อขึ้นมาแทนที่แอมะซอน ทั้งสองบริษัทกล่าวว่าการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้จะช่วยให้วอลกรีนสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกค้าซึ่งจะช่วยให้เภสัชกรสามารถจ่ายยาได้ดีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดไมโครซอฟท์กลับมาทวงคืนบังลังค์บริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 

อ้างอิง; CNN