มติดังกล่าวได้รับการเห็นชอบโดยไม่มีเสียงค้านจากสมาชิก 194 ประเทศ ที่ร่วมการประชุมสมัชชาประจำปี ซึ่งจัดขึ้นแบบเสมือนจริงเป็นครั้งแรก โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างยุติธรรม อิสระ และครอบคลุม ในเรื่องการตอบสนองระดับนานาชาติต่อการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พุ่งเป้าไปที่บทบาทขององค์การอนามัยโลก (WHO)
นอกจากนี้ มติดังกล่าวยังเรียกร้องให้ทั่วโลกรับรองการเข้าถึงการรักษาหรือวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และทันเวลา รวมถึงขอให้องค์การอนามัยโลกสอบสวนแหล่งกำเนิดของไวรัสและเส้นทางการระบาดสู่คน
มติดังกล่าวถูกเสนอเข้าที่ประชุมโดยสหภาพยุโรปในฐานะตัวแทน 100 ประเทศ ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกถูกวิจารณ์หนักต่อการจัดการวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพล่าช้าเกินไป โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์ที่รุนแรงขึ้นจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้บริจาครายใหญ่ โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 18 พ.ค.ผ่านมา ประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้ขู่จะนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก และยังกล่าวหาว่าองค์การอนามัยโลกเป็น “หุ่นเชิดของจีน”
ความเห็นของประธานาธิบดีทรัมป์มีขึ้นหลังจาก 'อเล็กซ์ อาซาร์' รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหรัฐฯ ได้กล่าวกับที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกว่าจำเป็นต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงเหตุผลพื้นฐานที่ทำให้โรคระบาดครั้งนี้แพร่ลามเกินควบคุม ว่าเป็นเพราะความล้มเหลวขององค์การอนามัยโลกในการได้รับและให้ข้อมูลสำคัญที่โลกต้องการเกี่ยวกับโควิด-19 พร้อมเรียกร้องให้มีการทบทวนอย่างอิสระในทุกแง่มุมของตอบสนองการระบาดใหญ่ครั้งนี้ขององค์การอนามัยโลก
ด้าน 'เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส' ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้ตอบรับเสียงเรียกร้องให้มีการทบทวนการรับมือโควิด-19 ขององค์กร โดยย้ำว่าจะริเริ่มการประเมินทบทวนในลักษณะดังกล่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ยืนยันว่าไม่จำเป็นที่จะต้องยกเครื่ององค์กรขนานใหญ่ พร้อมเรียกร้องประชาคมโลกเสริมประสิทธิภาพและจัดหาเงินทุนให้กับระบบและองค์กรต่างๆ ที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงองค์การอนามัยโลกด้วย
จนถึงตอนนี้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เริ่มระบาดครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีนเมื่อเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกแล้วกว่า 4.8 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 323,000 ราย โดยเชื่อกันว่าการแพร่เชื้อไวรัสเกิดจากตลาดอาหารแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น หลังไวรัสได้แพร่จากสัตว์มาสู่มนุษย์ ซึ่งจีนถูกกล่าวหาว่าพยายามปกปิดข้อมูลการติดเชื้อในช่วงสัปดาห์แรกๆของการระบาด โดยนักการเมืองอาวุโสในสหรัฐฯ บางคนโจมตีว่าต้นกำเนิดของไวรัสมาจากห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่นที่กำลังศึกษาเรื่องโคโรนาไวรัสในค้างคาว แต่จีนก็ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว ส่วนผู้เชี่ยวชาญในโลกตะวันตกก็ยังคลางแคลงต่อข้อสันนิษฐานนี้เช่นกัน
รัฐบาลจีนยืนยันว่าจีนเปิดเผยตรงไปตรงมาเกี่ยวกับพัฒนาการของการระบาดในจีน โดยเผยแพร่รหัสพันธุกรรมของไวรัสเมื่อเดือน ม.ค. และแบ่งปันข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกอย่างรวดเร็ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาประธานาธิบดี 'สีจิ้นผิง' ได้กล่าวกับที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกว่า จีนดำเนินการด้วยความเปิดเผยและโปร่งใส พร้อมย้ำว่าการสอบสวนใดๆ ก็ตาม ควรเกิดขึ้นหลังควบคุมการระบาดของโรคได้แล้ว ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนตอบโต้ว่า สหรัฐฯ พยายามใส่ร้ายป้ายสีจีนเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตัวเอง
อ้างอิง The Straits Times / BBC