นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนบริเวณ ตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เพื่อช่วย นายสหรัฐ กุลศรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 สุพรรณบุรี หมายเลข 5 พรรคเพื่อไทย หาเสียง โดยตลอดทางได้รับการตอบรับจากพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนอย่างอบอุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ได้สะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การค้าขายที่ค่อนข้างยากลำบาก พร้อมฝากให้พรรคเพื่อไทย สู้ศึกเลือกตั้งให้ได้รับชัยชนะ เพื่อให้กลับมาเป็นรัฐบาลเร็วๆ จะได้เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและปัญหาปากท้องของประชาชน
โดยนายชูศักดิ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สุพรรณบุรี ทั้งพ่อค้าแม่ค้า ประชาชนและห้างร้าน ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องของเศรษฐกิจปากท้อง ความเป็นอยู่และการค้าขายที่ค่อนข้างจะฝืดเคือง ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ที่ประชาชนพูดกันแต่ว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจแย่จนถึงขั้นที่บอกไม่ไหวแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็มีเป้าหมายเพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ชูศักดิ์” ติง กกต. ตั้งแท่นสอบ “รณรงค์โหวตโน”
ทั้งนี้ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงกรณีที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีประชาชนรณรงค์ให้โหวตโนในบางพื้นที่ ว่า การทำหน้าที่ของ กกต.นอกจากจะเป็นปัญหาในขณะนี้แล้วอาจจะเป็นปัญหายืดเยื้อไปในอนาคตหลังการเลือกตั้งด้วย เพราะถ้าพิจารณาข้อกฎหมายก็จะเห็นได้ว่าการณรงค์ไม่เลือกผู้สมัครหรือพรรคใดนั้นถือว่าเป็นสิทธิ ซึ่งได้มีการบัญญัติไว้เช่นเดียวกับการรณรงค์ให้เลือกใครคนใดคนหนึ่ง
โดยมีข้อห้ามในทำนองเดียวกัน คือ ห้ามจูงใจ ห้ามให้ทรัพย์สินหรือห้ามจัดมหรสพ สำหรับดึงคนให้มาเลือกเรา ซึ่งถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีช่องไม่ประสงค์จะเลือกผู้สมัครคนใด ที่จะต้องมีการนับคะแนนในการเลือกตั้งด้วย หากคะแนนของผู้สมัครในเขตนั้นน้อยกว่าคะแนนในส่วนนี้ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นการบอกว่าใครรณรงค์เรื่องนี้แล้วเป็นความผิดนั้น น่าจะเกิดการเข้าใจผิด หาก กกต.วินิจฉัยเช่นนี้และไปเอาผิด แล้วหลังเลือกตั้งเกิดการโต้แย้งว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ อาจเป็นปัญหาขึ้นในอนาคต
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ กกต.ยังควรเร่งดำเนินการอีกหลายเรื่องที่มีปัญหามาก่อนหน้านี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนที่จะเป็นปัญหายืดเยื้อไปหลังเลือกตั้ง ทั้งเรื่องการตรวจสอบพรรคการเมืองที่จัดโต๊ะจีนระดมทุนแล้ว กกต.อ้างว่าไม่พบความผิด เพราะไม่พบว่ามีกลุ่มทุนจากต่างชาติบริจาคเงิน ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับที่มีผู้ร้องให้ กกต.ตรวจสอบว่ามีหน่วยงานรัฐเข้าไปร่วมซื้อโต๊ะจีนระดมทุนของพรรคการเมืองหรือไม่
เนื่องจากได้มีการเผยแพร่เอกสารที่มีชื่อคล้ายกับหน่วยงานรัฐบางหน่วยงานรวมอยู่ด้วยอย่างชัดเจน รวมไปถึงกรณี สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ซึ่ง กกต.ควรดำเนินการวินิจฉัยให้สะเด็ดน้ำ ไม่ควรปล่อยให้คาราคาซัง ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาในอนาคตเช่นเดียวกัน