สตาร์ทอัพไทย ยังไปได้อีก Dtac จึงเปิดจัดอบรมหลักสูตรใหม่ "เอ อะคาเดมี่" ดันธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ปลดล็อกการระดมทุนระดับซีรีส์ A สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนระดับเอเชีย เพื่อเดินหน้าให้กลายเป็นยูนิคอร์น
วงการสตาร์ทอัพทั่วโลกยังคงเติบโตและมีโอกาสให้นักสร้างสรรค์ที่จะโชว์ไอเดียของตัวเองเพื่อระดมเงินทุนผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในโลกยุคใหม่
แต่สำหรับวงการสตาร์ทอัพไทย พบว่า สตาร์ทอัพไทยมีไม่ถึง 10% ที่สามารถปลดล็อกจากระดับเริ่มเต้นหรือที่เรียกว่า seed ที่มีมูลค่าการระดมทุนที่ 2 หมื่น - 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ไปสู่ระดับซีรีส์ A หรือมูลค่าการระดม 1 - 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังเป็นค่าเฉลี่ยที่น้อยมาก
บริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือ ดีแทค จึงจัดโครงการ Dtac Accelerate ปีที่ 7 เพื่อบ่มเพาะสตาร์ทอัพของไทยให้ไปได้ไกลกว่าเดิม
ผ่านหลักสูตรที่เข้มข้นจากเมนเทอร์ที่เป็นสตาร์ทอัพ ฮีโร่ มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมในการระดมทุนที่มีมูลค่าสูง การเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาปรับใช้กับธุรกิจ อย่าง Machine Learning และ AI
โครงการนี้ มี 2 หลักสูตร คือหลักสูตรบ่มเพาะสตาร์ทอัพน้องใหม่ สำหรับผู้ที่มีไอเดียแต่ยังไม่เกิดเป็นธุรกิจ และธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ส่วนหลักสูตรที่สอง อย่าง "เอ อะคาเดมี่" สำหรับสตาร์ทอัพของ Dtac Accelerate ที่อยู่ในระดับซีรีส์ A งานนี้ ดีแทคร่วมกับกูเกิล และนักลงทุนชั้นนำของเอเชีย อย่าง 500TukTuks,Golden Ventures,Line Ventures และ KK Fund เข้ามาให้ความรู้ แบ่งปันเทคนิคเกี่ยวกับการระดมทุน เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพไทยก้าวไปถึงแหล่งเงินทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย หรือมีมูลค่าบริษัทกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
ที่ผ่านมา มีสตาร์ทอัพไทยจาก Dtac Accelerate ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น "เคลมดิ" แอปพลิเคชั่นเพื่อเคลมประกันรถยนต์ "จิสทิก" ธุรกิจโลจิสติกส์ "Fastwork" แอปพลิเคชั่นหางานของชาวฟรีแลนซ์ ซึ่งมีมูลค่าการระดมทุนสูงที่สุดในระดับซีรีส์ A และ "Ricult" ที่มีการระดมทุนระดับ Seed สูงสุดในหมวดเกษตรกรรมของอาเซียน จึงทำให้เห็นว่า สตาร์ทอัพไทยยังมีอนาคตไกลและไปได้อีก