ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร BMJ Open เผยว่า การกินอาหารช้า ๆ สามารถช่วยป้องกันโรคอ้วนได้ และยังช่วยลดขนาดเอวและค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI ได้เช่นกัน
ในการศึกษานักวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากการตรวจสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวนกว่า 59,700 คน ตั้งแต่ปี 2008 ถึงกลางปี 2013 โดยให้ผู้ป่วยตอบคำถาม 7 ข้อ เกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิต ความเร็วในการกินอาหาร จำนวนครั้งที่กินของว่างหลังมื้อเย็น และจำนวนครั้งที่งดอาหารเช้า
ผลการศึกษาระบุว่า คนที่กินช้าจะมีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ยอยู่ที่ 22 ส่วนคนที่กินในอัตราปกติจะมีดัชนีมวลกายเฉลี่ยอยู่ที่ 23.5 ขณะที่คนกินเร็วมีค่าดัชนีที่ 25 นอกจากนั้น คนที่กินเร็วจะมีรอบเอวที่ใหญ่กว่า ทั้งนี้จากการวิเคราะห์เพิ่มเติม พบว่า การกินอาหารให้ช้าลง การนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม การกินมื้อเช้าอย่างสม่ำเสมอ และการงดกินอาหารก่อนนอน ยังช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคอ้วนได้
ทั้งนี้ แทม ฟราย ประธานสมาคมโรคอ้วนแห่งชาติ (National Obesity Forum) กล่าวว่า คนที่กินอาหารเร็วจะใช้เวลานานกว่าปกติจึงจะรู้สึกอิ่ม เนื่องจากฮอร์โมนในกระเพาะอาหารยังไม่ทันส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อสั่งให้หยุดกิน การกินอาหารเร็วจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังคงมีข้อกังขาและข้อจำกัดอยู่ เนื่องจากทำการศึกษาเฉพาะในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เท่านั้น อีกทั้งยังมีสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุไม่มากนัก และยังไม่ได้คำนึงถึงระดับการออกกำลังกายหรือปริมาณอาหารที่กินต่อวัน รวมถึงข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ได้มาจากการรายงานด้วยตัวเองของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งอาจมีความเข้าใจเกี่ยวกับความเร็วในการกินอาหารไม่เท่ากัน