ผู้บริหารบริษัทปิโตรเลียมยักษ์ใหญ่ชี้ การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามที่ UN แนะนำคือสิ่งที่ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ทั่วโลกต้องช่วยกันก่อนจะสายเกินแก้
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาสำนักข่าว BBC ได้มีการเปิดเผยรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหประชาชาติ ซึ่งร่วมกันเขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำของโลก โดยในรายงานฉบับนี้ระบุว่าทั่วโลกมีเวลาเหลือเพียง 12 ปีในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่าเดิมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทาง IPCC ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศปรับเปลี่ยนนโยบายโดยด่วนที่สุด เพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งพวกเขาประเมินว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากจนเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องทุกประเทศจะต้องมีความทะเยอทะยานอย่างถึงที่สุดในการทำตามข้อตกลงปารีสว่าด้วยการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้านเดบรา โรเบิร์ตส ประธานร่วมคณะทำงานของ IPCC ระบุว่า นี่เป็นเส้นตายสำหรับมนุษย์ และนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนต้องลงมือแก้ปัญหากันแล้ว รายงานฉบับนี้เป็นดั่งระฆังเตือนภัยที่ใหญ่ที่สุดจากวงการวิทยาศาสตร์ และเธอหวังว่ามันจะช่วยขับเคลื่อนผู้คน และทำลายอาการหลงพึงพอใจแบบผิด ๆ ได้
หลังจากที่รายงานฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างเริ่มตื่นตัวถึงการนับถอยหลังเข้าสู่วิกฤติการณ์ภาวะโลกร้อนและพยายามเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น สำนักข่าว The Guardian รายงานว่าหนึ่งในนั้นคือนายเบน แวน เบอร์เดน ซีอีโอของบริษัทเชลล์ ที่ออกมาแสดงความเห็นบนเวทีที่เขาไปขึ้นพูดเกี่ยวกับพลังงานในกรุงลอนดอนของอังกฤษว่า มาตรการรับมือกับภาวะโลกร้อนต้องถูกยกระดับให้มีความเข้มงวดมากขึ้นไปอีกขั้น โดยการสนับสนุนให้ทั่วโลกหันมาใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้เชื้อเพลงถ่านหินแบบเก่านั้นยังไม่พอ เพราะถึงแม้ทั้งโลกจะหันไปพึ่งพลังงานสะอาด อุณหภูมิโลกก็จะจะพุ่งสูงขึ้นอยู่ดี
อีกหนึ่งวิธีที่นายแวน เบอร์เดนเสนอก็คือการเร่งโครงการปลูกป่าครั้งใหญ่ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งขนาดของป่าที่เขากำลังพูดถึงอยู่นั้นคือการปลูกป่าที่ต้องมีขนาดใหญ่รวมกันได้เท่ากับป่าแอมะซอนเลยทีเดียว การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้โลกจะสามารถควบคุมอุณหภูมิให้เพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ภายใน 12 ปีข้างหน้าตามที่ตั้งใจไว้ เพราะการค่อย ๆ ปรับมาใช้พลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์และพลังงานลมอย่างที่ทั่วโลกกำลังทำนั้นไม่ใช่หนทางที่จะพามนุษยชาติประสบความสำเร็จในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินไปได้
นายแวน เบอร์เดนยังย้ำอีกด้วยว่า การจะทำให้ได้ตามเป้าเหมาย 1.5 องศาเซลเซียสนั้นคือการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกจะต้องร่วมมือกัน รัฐบาลทั่วโลกจะต้องพร้อมใจกันออกนโยบายที่แข็งแกร่งมากพอที่จะโน้มน้าวให้ภาคธุรกิจนั้นเห็นด้วยกับการลดรายได้บางส่วนเพื่อประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อม และที่สำคัญนายแวน เบอร์เดนมองว่าการชะลออุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสให้ได้ภายใน 12 ปีนั้น แทบจะเป็นเป้าหมายที่ยากเกินกว่าที่เขาจะคิดว่าเป็นไปได้แล้ว หากว่าเราจะพยายามเดินตามเป้า "1.5 องศาเซลเซียส" ล่ะก็ โลกทั้งใบจะต้องหันมาร่วมมือกันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจริง ๆ ซึ่งดูท่าจะเป็นไปได้ยากมากแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
อย่างไรก็ตาม แม้เป้าหมายที่ว่าดูจะยากเกินเอื้อม แต่เมื่อฟังจากคาดการณ์ของหายนะที่จะเกิดขึ้นหลายฝ่ายชี้ว่าการควบคุมอุณภูมิดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยการศึกษาของ IPCC ได้ระบุเพิ่มเติมว่า หากลดเป้าหมายอุณหภูมิโลกลงมาให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แทน 2 องศาเซลเซียสจากยุคอุตสาหกรรมได้ จะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดลดลง อีกทั้งยังลดจำนวนคนที่ยากจนที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศลงได้มาก และการลดอุณหภูมิเป้าหมายลงเพียง 0.5 องศาเซลเซียสจะทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายทางเศรษฐกิจได้ถึง 22 เปอร์เซ็นต์จากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียส
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานดังกล่าวได้เปรียบเทียบว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจะทำให้เกิดไฟป่าเพิ่มขึ้นเพียง 37.8 เปอร์เซ็นต์ แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไปสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส ไฟป่าก็จะเกิดเพิ่มขึ้นถึง 61.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปะการังในมหาสมุทรจะตายหมดหากอุณหภูมิขึ้นไปเกิน 2 องศาเซลเซียส แต่หากเราสามารถควบคุมให้อุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะเหลือปะการังที่รอดประมาณ 10-30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ด้านแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลงและพืชจะหายไป 6 เปอร์เซ็นต์หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1.5 องศาเซลเซียส แต่ตัวเลขจะพุ่งขึ้นไปถึง 18 เปอร์เซ็นต์หากอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อแมงที่เป็นผู้ทำหน้าที่ผสมเกสรในโลกมีจำนวนลดลง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ 2 องศาเซียสเซียสที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 10 เซนติเมตรภายในปี 2100 ซึ่งจะกระทบประชาชนมากกว่า 10 ล้านคน และอุตสาหกรรมประมงจะทำประมงได้น้อยลง 3 ล้านตัน เพราะจำนวนสัตว์ทะเลลดลงจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป รวมถึงสภาพน้ำทะเลที่เป็นกรดมากขึ้น ขณะที่ 1.5 องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ทำประมงได้น้อยลง 1.5 ล้านตัน
ทั้งนี้ สำนักข่าว BBC ชี้ว่า วิธีแก้ไขปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน หากจะควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นจากเดิมไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะต้องมีการลงทุนในระบบพลังงานเฉลี่ยประมาณปีละ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 79 ล้านล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2016–2035
อย่างไรก็ตาม ดร.สตีเฟน คอร์เนเลียส อดีตผู้เจรจาระหว่างรัฐบาลอังกฤษและ IPCC กล่าวว่า การตัดลดปริมาณการปล่อยแก๊ซคาร์บอนต้องใช้งบประมาณสูงในระยะสั้น แต่ก็ถูกกว่าการกำจัดแก๊ซคาร์บอนในภายหลัง และรายงานฉบับนี้ไม่เพียงแต่กล่าวถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปกับการควบคุมอุณหภูมิโลกเท่านั้น แต่ยังพูดถึงผลประโยชน์ที่ต้องนำมาชั่งน้ำหนักด้วย การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส ความเสี่ยงจากผลกระทบที่จะได้รับจากภัยพิบัติทางธรรมชาติก็จะน้อยกว่าด้วย เพราะฉะนั้นที่คือการลงทุนที่คุ้มค่า
มีการสรุป 5 ขั้นตอนหยุดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสไว้คือ
1. ภายในปี 2030 จะต้องลดปริมาณการปล่อยแก๊ซคาร์บอนลงให้ได้ร้อยละ 45 จากปี 2010 โดยเป้าหมายเดิมวางไว้ว่าจะควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศา โดยวางแผนว่าจะลดการปล่อยแก๊ซคาร์บอนลงร้อยละ 20 ในปี 2030
2. ยุติการปล่อยแก๊ซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศให้ได้ภายในปี 2050 จากแผนเดิมที่ตั้งเป้าว่าจะยุติการปล่อยแก๊ซคาร์บอนในปี 2075
3. ภายในปี 2050 พลังงานไฟฟ้ากว่าร้อยละ 85 ของทั้งหมดจะต้องมาจากพลังงานหมุนเวียน
4. ยุติการใช้พลังงานถ่านหิน
5. ต้องใช้พื้นที่กว่า 7 ล้านตารางกิโลเมตรในการทำฟาร์มพลังงานหมุนเวียน