นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงและมาเก๊าเพิ่มขึ้น แม้สถานการณ์เงินหยวนจะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ความพยายามของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ในการคืนสมดุลทางเศรษฐกิจด้วยการออกนโยบายขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสงครามการค้าที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงง่าย ๆ เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และนั่นถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ โดยขณะนี้เงิน 1 ดอลลาร์มีค่าเทียบเท่ากับ 6.93 หยวนเท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์
การอ่อนค่าลงของสกุลเงินหยวนมากถึง 10 เปอร์เซ็นต์ยังอาจหมายถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคชาวจีนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวและจับจ่ายในฮ่องกงอีกด้วย เพราะเมื่อเทียบเงินหยวนและดอลลาร์ฮ่องกงแล้ว สถานการณ์ก็ยังน่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ซึ่งเมื่อมองในภาพรวมจะพบว่านักเดินทางและนักท่องเที่ยวชาวจีนคือลูกค้ากลุ่มสำคัญของธุรกิจต่าง ๆ ในฮ่องกง ถ้าหากเงินหยวนยังอ่อนค่าต่อไป เศรษฐกิจของฮ่องกงก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
จากการรายงานของเจสสิกา เฟย นักวิเคราะห์ด้านกองทุนของบริษัทเจฟเฟอร์รีส์ ชี้ว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อุตสาหกรรมขายปลีกของฮ่องกงนั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่า 9.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมของปี 2017 และยอดขายของอุตสาหกรรมค้าปลีกของฮ่องกงยังสูงกว่าเดือนกรกฎาคมปีนี้ถึง 7.8 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามายังฮ่องกงมากขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาถึง 22 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าเดือนกรกฎาคมที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้นเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ทิฟฟานี เฟง นักวิเคราะห์ด้านผู้บริโภคของบริษัทซิตี้ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้เช่นกัน โดยระบุว่า สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของลูกค้าชาวจีนเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับการคาดหวังของตลาด เนื่องจากว่าหลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงน่าจะซบเซาลงจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีนดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้หลังสกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลง
ไม่เพียงแต่ฮ่องกงเท่านั้นที่กำลังเฉลิมฉลองให้กับตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้ เพราะในเขตบริหารพิเศษมาเก๊าก็กำลังเป็นอีกหนึ่งปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะเดินทางไปเช่นกัน โดยรายงานอีกหนึ่งฉบับของบริษัทซิตี้ที่เผยแพร่มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่าในช่วง 4 วันแรกของสัปดาห์เฉลิมฉลองวันชาติจีน หรือ Golden Week ซึ่งตรงกับวันที่ 1 - 7 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในมาเก๊าเพิ่มขึ้นมากถึง 21.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ Golden Week ในปี 2017
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังมองว่าการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโปรเจกต์ใหญ่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่แถบนั้นโดยเฉพาะโครงการ Greater Bay Area ที่จะกลายมาเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งนักวิเคราห์เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาใช้เงินมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ศักยภาพของโครงการ Greater Bay Area คือสิ่งที่บรรดานักลงทุนและนักธุรกิจกำลังจับตามองอย่างมาก เนื่องจากโครงการนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับหลายพื้นที่ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง มาเก๊า และเมื่อโดยรอบอย่างกวางตุ้ง รวมไปถึงศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่งอย่างเซินเจิ้น และกวางโจว โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมาเพิ่งจะมีการเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อระหว่างจีนและฮ่องกงไป และภายในเดือนตุลาคมนี้ก็จะมีการเเปิดตัวระบบสะพานและอุโมงค์อีกด้วย
ทิฟฟานี เฟง นักวิเคราะห์ด้านผู้บริโภคของบริษัทซิตี้ ระบุเพิ่มเติมด้วยว่าโครงการ Greater Bay Area คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและนักเดินทางจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เติบโตไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาสินค้า บริการ และการลงทุนในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันนี้ในพื้นที่ของโครงการ Greater Bay Area นั้นมีประชากรหนาแน่นราว 70 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะมี GDP อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 50 ล้านล้านบาท เทียบเท่าขนาด GDP ของรัสเซียและเกาหลีใต้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ด้านสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นสร้างความกังวลให้หลายฝ่ายอย่างมาก โดยแม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมายังไทยเพิ่มขึ้นทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เรือนำเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงทันที ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดเผยตัวเลขออกมาว่า นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยในเดือนกรกฎาคมลดลง 0.87 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เดือนสิงหาคมนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดลงมากถึง 11.77 เปอร์เซ็นต์
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อบรรดาร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว ซึ่งตามปกติแล้ว ช่วงวันที่ 1-7 ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันหยุดยาวของชาวจีน และจะเป็นช่วงที่ชาวภูเก็ตสามารถสร้างรายได้ในช่วงโลว์ซีซั่น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้ประกาศเตือนพลเมืองของตนให้งดเดินทางมาท่องเที่ยวยังบริเวณชายฝั่งอันดามันของไทยในช่วงฤดูมรสุม เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน จึงทำให้สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวในไทยนั้นซบเซาอย่างมาก