ไม่พบผลการค้นหา
World Trend - 'ลูกโลกทองคำ' รางวัลที่ยังก้าวอยู่กับที่ - Short Clip
World Trend - ลูกจ้างอังกฤษเกินครึ่งเชื่อ 'เจ้านายคอยแอบดู' - Short Clip
World Trend - บริษัทแท็กซี่อังกฤษเล็งใช้รถไร้คนขับใน 3 ปี - Short Clip
World Trend - ปิดตำนาน 'คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์' เจ้าพ่อแฟชั่นโลก - Short Clip
World Trend - จีนหันไปลงทุนใน 'หนัง' แทน 'สตูดิโอ' - Short Clip
World Trend - เนเธอร์แลนด์ลงทุนเพิ่มให้คนใช้จักรยานมากขึ้น - Short Clip
World Trend - ก้าวต่อไปของ AI คือส่งข้อความแทนผู้ใช้งาน? - Short Clip
World Trend - ญี่ปุ่นสวนกระแสโลก ไม่นิยมผู้บริหารหญิง - Short Clip
World Trend - ชายอังกฤษ 1 ใน 3 ซ่อนในห้องน้ำหนีหน้าครอบครัว - Short Clip
World Trend - 'หนัง-หนังสือ' เปิดสังคมรับความหลากหลายทางเพศ - Short Clip
World Trend - เจ้านาย 1 ใน 3 เลี่ยงจ้างผู้หญิงที่กำลังสร้างครอบครัว - Short Clip
World Trend - เทรนด์การกินทำให้คนทำอาหารหลายรอบในหนึ่งมื้อ - Short Clip
World Trend - หุ่นยนต์เก็บของในโกดังทำงานไวกว่าคน - Short Clip
World Trend - ประชากรโลกกว่า 95% เผชิญอากาศเสีย - Short Clip
World Trend - ผลสำรวจชี้ คนรุ่นใหม่มองชีวิตในแง่ร้าย - Short Clip
World Trend - ทางการจีนบล็อก 'วิกิพีเดีย' ทุกภาษา - Short Clip
World Trend - รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่ยาครอบจักรวาล - Short Clip
World Trend - Cats กับภาวะความกลัวสิ่งคล้ายมนุษย์ - Short Clip
World Trend - แฟชั่นไอคอน 'คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์' เสียชีวิตแล้ว - Short Clip
World Trend - เกาหลีใต้จำกัดจำนวนไอดอล 'หน้าเหมือนกัน' - Short Clip
World Trend - การถอยหลังและก้าวหน้าของออสการ์ 2019 - Short Clip
Feb 26, 2019 08:07

ออสการ์ปีนี้เป็นปีที่มีเซอร์ไพรส์และมีความแปลกใหม่มากมาย แต่ก็เป็นปีที่มีเสียงครหาอยู่พอสมควร จะมีอะไรที่เป็นเรื่องดีและไม่ดีจากงานปีนี้บ้าง 

จบลงไปแล้วสำหรับงานประกาศรางวัลอคาเดมี อวอร์ด หรือ 'ออสการ์' เมื่อวานนี้ (25 ก.พ.2562) ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งก็มีทั้งผลรางวัลที่ถูกใจและไม่ถูกใจคอหนังทั่วโลก โดย 'ความไม่ถูกใจ' ที่ว่านี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะนอกเหนือจากประเด็นการจัดแคมเปญล็อบบีให้ภาพยนตร์ของบริษัทตัวเอง 'มาวิน' ของบริษัทต่าง ๆ แล้ว ผลคะแนนยังขึ้นอยู่กับการโหวตของสมาชิกอคาเดมีอีกด้วย และปัจจัยการโหวตของสมาชิกแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ส่วนหนึ่งโหวตเพราะชอบ ขณะที่ อีกส่วนโหวตเพราะ 'คุณค่า' ของผลงาน เท่ากับว่ามีสมาชิกจำนวนหนึ่งที่โหวตโดยแยกภาพยนตร์ที่ชอบออกจากภาพยนตร์ที่ดี และคำว่า 'ดี' ของแต่ละคน ก็ยังแยกย่อยไปได้อีกหลากหลาย

เช่น หนึ่งในสมาชิกสายผู้กำกับที่มีสิทธิ์โหวตที่ถูกสื่อ The Hollywood Reporter สัมภาษณ์ก่อนการประกาศรางวัล เขาคนนี้ขอไม่เปิดเผยชื่อจริง แต่ระบุอย่างชัดเจนว่าโหวตให้ใครและเพราะอะไร เบื้องต้นคือ เขาไม่ได้โหวตให้ Green Book ผู้ชนะรางวัลออสการ์แบบ 'ล็อกถล่ม' และยอมรับว่าสองจิตสองใจระหว่าง BlacKkKlansman กับ The Favourite ซึ่งแม้เขาจะชอบความมีรสชาติของ The Favourite มากกว่า แต่ถ้ามองให้เชิงคุณค่าและ 'สาร' ที่ผลงานต้องการส่งถึงผู้ชมแล้ว เขาจึงโหวตให้ BlacKkKlansman ในที่สุด

ที่กล่าวว่า Green Book ชนะอย่างพลิกล็อก เนื่องจากหลายสื่อเก็งกันว่า Roma ผลงานจากเม็กซิโกของผู้กำกับ อัลฟอนโซ กัวรอน จะ 'นอนมา' ในสาขานี้ ประกอบข่าวฉาวของ Green Book ที่มีทั้งเรื่องผู้เขียนเคยทวีตเหยียดมุสลิม เรื่องที่ผู้เขียนไม่ติดต่อครอบครัวของดอกเตอร์ ดอน เชอร์ลีย์ ตัวละครหลักในเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องที่เนื้อหามัน 'เบาบาง' และคล้ายกับผลงาน Driving Miss Daisy ปี 1989 ที่เข้าชิงชนะรางวัลออสการ์ปี 1990 ไปแบบค้านสายตา เนื่องจากปีนั้น Do the Right Thing ผลงานคุณภาพของ สไปก์ ลี ไม่ได้แม้แต่จะเข้าชิงในสาขาใหญ่นี้ และถือเป็น Snub ครั้งใหญ่ของปีนั้น

อย่างไรก็ตาม 30 กว่าปีถัดมา สไปก์ ลี สามารถคว้ารางวัลออสการ์ไปได้สำเร็จ กับรางวัลบทดัดแปลงยอดเยี่ยมของ BlacKkKlansman ทำให้หลายคน 'โล่งใจ' ที่ในที่สุด คนที่สมควรได้รางวัลก็ได้รับมันเสียที แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเกิดเป็นดรามาตามมาได้ เมื่อผู้เชิญรางวัลสุดท้ายของค่ำคืนนั้นประกาศชื่อ Green Book แทนที่จะเป็น Roma ซึ่งอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ Green Book แทบไม่ต่างอะไรก็ผลงานที่เคย Snub สไปก์ ลี มาแล้ว ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก จนเตรียมลุกออกจากงานระหว่างที่งานยังไม่จบ แต่กลับถูกสกัดโดยสตาฟฟ์ในงานเสียก่อน ทำให้ลีต้องจำใจกลับมานั่งที่เดิม ขณะที่ บรรยากาศในโรงละครก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก เพราะมีผู้เข้าร่วมงานส่วนหนึ่งปฏิเสธที่จะปรบมือแสดงความยินดีกับ Green Book ที่ได้รับรางวัลใหญ่ที่สุดนี้ไปครอง

ยิ่งไปกว่าผลงานที่ไม่ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ก็คือผลงานที่ได้รับเสียงโห่ แม้จะไม่ได้โห่จากผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที แต่ก็มาจากผู้เข้าร่วมงานกลุ่มเดียวกัน ที่เลือกจะไปรวมตัวกันที่บาร์เครื่องดื่มด้านหลังในหลายจังหวะการประกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงการประกาศรางวัลที่มีความสำคัญรอง ๆ ลงไป โดยเสียงโห่ที่ดังที่สุดในคืนนั้น มาจากรางวัลที่อาจเรียกได้ว่าค้านสายตาที่สุดในปีนี้ อย่าง Bohemian Rhapsody กับรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม

ทั้งหมดนี้ถือเป็นหนึ่งใน 'ก้าวที่ถอยหลัง' ของฮอลลีวูด ที่มาตรฐานการมอบรางวัลยังไม่คงที่ และในหลายครั้งถือว่าน่าผิดหวัง แม้ว่า Green Book จะเป็นผลงานที่ไม่ได้ย่ำแย่ในสายตาผู้ชม แต่การมอบรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก็สมควรจะมอบให้ผลงานที่ดีที่สุด และในหลายกรณี ควรเป็นผลงานที่ 'คลีน' หรือปราศจากคำครหาที่สุดด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับปีนี้ อาจไม่สามารถกล่าวได้เต็มปากว่านี่เป็นผลจากการล็อบบี แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากเช่นกัน ว่าหลายองค์ประกอบที่รวมกันเป็นงานระดับโลกนี้ มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจแทรกซึมอยู่มาก

นอกเหนือจากตัวงานประกาศเองแล้ว ก็ยังมี 'อิทธิพลมืด' อยู่ในปาร์ตี้หลังเลิกงานด้วย โดยดรามาหนึ่งคือ การที่ Vanity Fair ประกาศแบนนักข่าวจาก The New York Times ไม่ให้เข้างาน ด้วยเหตุผลว่า 'รายงานเกี่ยวกับงานไปแล้ว' ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงการแสดงความไม่พอใจของ Vanity Fair กับบทความหนึ่งของ NYT ที่ระบุว่า งานปาร์ตี้ออสการ์จะเต็มไปด้วยคนที่สื่อไม่รู้จัก เพราะมีแต่ 'สปอนเซอร์' ในงานเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางดรามาและความไม่ลงรอยกันเหล่านั้น ก็ยังมี 'ความก้าวหน้า' ที่น่ายินดีอย่างมาก นั่นคือความหลากหลายที่ฮอลลีวูดโหยหามานาน ไม่เพียง 3 ใน 4 รางวัลการแสดงใหญ่จะตกเป็นของ 'คนผิวสี' เท่านั้น แต่ในสาขาอื่น ๆ ก็มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้หญิงได้รับรางวัลมากอย่างเป็นประวัติการณ์ ถึง 15 คนด้วยกัน และยังเป็นผู้หญิงผิวสีด้วย ทั้งแอฟริกันอเมริกัน และเอเชียนอเมริกัน สำหรับรางวัลการแสดงนั้น นอกเหนือจาก โอลิเวีย โคลแมน กับบทควีนแอนน์ ใน The Favourite แล้ว นักแสดงคนอื่นล้วนแต่เป็นคนผิวสีทั้งสิ้น โดย รามี มาเลก เป็นอเมริกันเชื้อสายอียิปต์คนแรก และเป็นนักแสดงเชื้อสายอาหรับคนแรก ที่ได้รางวัลออสการ์ด้านการแสดง ขณะที่ มาเฮอร์ชาลา อาลี และ เรจินา คิง ที่ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ก็ถือเป็นนักแสดงผิวสีฝีมือดีแห่งยุคทั้งคู่

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
184Article
76559Video
0Blog