เมื่อทราบข่าวว่า ‘พีวรายุส กองไพบูลย์’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เล็ก เดสก์ทอป เออร์เรอร์’ (Desktop Error) นักร้องนำวงดนตรีอินดี้ ผู้ใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ท่ามกลางวงการเพลงนอกกระแสมาเป็นเวลากว่า 10 ปี กำลังจะจัด ‘เทศกาลดนตรีฮองเอียน’ เป็นครั้งที่ 4 ช่วงปลายเดือนธันวาคม ทางทีมงาน Voice On Being จึงเดินทางไปพบกับเล็ก ณ ริมห้วยฮองเอียน บ้านเกิดของเขา เพื่อเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับความเป็นมาของเทศกาลดนตรีนอกกระแส ที่อยู่ๆ โผล่มาสร้างความบันเทิงในจังหวัดเล็กๆ ของอีสานใต้ และดำเนินงานต่อเนื่องมาถึง 4 ปี
แม้ทางเราจะคาดเดาล่วงหน้าว่า คำตอบของสมการคง ‘ไม่ใช่เรื่องเงิน’ ทว่าสิ่งที่เล็กเผยออกมามันไม่ใช่เพียงความคลั่งไคล้ทางดนตรีเท่านั้น แต่ยังทำให้เราเห็นปัญหาการกระจุกตัวความเจริญ ความเข้าใจผิด การปิดกั้นทางแนวดนตรี และอุปสรรคของการพัฒนาท้องถิ่นที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
พีวรายุส : ต้องเท้าความก่อนว่า บ้านเกิดเราอยู่ศรีสะเกษ ประกอบกับเราเป็นนักดนตรี เวลาไปตามเทศกาลดนตรีบ่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกอยากกลับมาทำเทศกาลดนตรีเล็กๆ ที่บ้านเกิด ก็เลยเกิดเป็น ‘เทศกาลดนตรีฮองเอียน’ ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีนอกกระแส ส่วนชื่อฮองเอียนมาจากห้วยที่อยู่บริเวณสถานที่จัดงานนั่นแหละ
ตอนทำครั้งแรกเอาวงดนตรีพี่ๆ น้องๆ ในจังหวัดมาเล่น คนก็มากันเยอะทำให้เห็นว่า คนท้องถิ่นไม่ได้ปิดกั้น และพอมีพื้นที่สำหรับดนตรีอยู่บ้าง ครั้งต่อๆ ไปเลยหันมาทำแบบจริงจังมากขึ้น ด้วยการนำวงดนตรีมีชื่อเสียง และอยู่นอกเหนือจากศรีสะเกษ หรืออุบลราชธานีมาแสดง อย่างศรีราชา ร๊อคเกอร์ (Srirajah Rocker) โซลิจูด อิส บลิส (Solitude Is Bliss) หรือวิมุตติ (Vimutti) ก็เคยมาเล่นที่ฮองเอียน
พีวรายุส : ไม่ขนาดนั้น ถ้าตีเป็นตัวเลขคนจากศรีสะเกษที่มาฮองเอียนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมากจากกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียงทางภาคอีสาน ตอนจัดครั้งที่ 2 บางคนนั่งรถไฟฟรีมาจากภาคใต้ เจ๋งมาก! มากันไกลขนาดนี้
คนจากศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ หรืออีสานใต้ ไม่มีโอกาสดูคอนเสิร์ตของศิลปินนอกกระแสแน่นอน น้อยครั้งที่พวกเขาจะมาเล่น ตอนแรกเราประเมินไว้ว่า ในงานทั้งหมด 700 คน ถ้าจังหวัดใกล้ๆ มากันจังหวัดละ 50 คน ถือว่า โอเคแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่ทำคือ อยากให้คนแถวบ้านมาดูก่อน แต่พอเห็นคนภาคอื่นมาด้วยก็ดีใจนะ
พีวรายุส : โอ๊ยเยอะ (หัวเราะ) บางคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ เคยเข้าไปปรึกษากับผู้ใหญ่ในจังหวัดว่าสามารถขยับให้เป็นการท่องเที่ยวได้ไหม เขาบอกว่าไม่ได้หรอก มันไม่ใช่การท่องเที่ยว เหมือนทำเพื่อตัวเองมากกว่าจังหวัด เราก็อาจจะอธิบายได้ไม่ดีพอ หรือทำให้เห็นภาพไม่ได้
พีวรายุส : อยู่ไม่ได้ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีรายได้อื่นอยู่ไม่ได้หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ยังทำเพราะบ้านเราอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ทำให้มีอะไรเกิดขึ้น และดีกว่าอยู่เฉยๆ คนถามเยอะเหมือนกันว่า ราคาบัตร 350 บาท จะคุ้มกันไหม แต่ที่ขายราคานี้เพราะอยากให้คนในพื้นที่มาดู เด็กวัยรุ่นที่ต้องจ่ายเงินเท่านี้ก็เยอะแล้วนะสำหรับพวกเขา
ด้วยจำนวนเงินที่ไม่มากโปรดักชั่นก็จะไม่ได้อลังการ เวทีใหญ่เสียงสีสุดยอดอะไรขนาดนั้น แต่ไม่แย่แน่นอน อยากให้มาที่นี่แล้วอบอุ่น เพราะสถานที่ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถเดินได้ทั่วถึง นั่งกับพื้นฟังเพลง เสร็จแล้วไปนอนในเต้นท์ แต่ไม่ใช่ว่าบรรยากาศกันเองแบบนี้แล้วจะเอาวงอะไรมาแสดงก็ได้ ก็พยายามเอาวงที่คนฟังชอบ และหาดูแถวนี้ไม่ค่อยได้มาเล่น
พีวรายุส : คนมาประมาณ 700 คน ค่าบัตรทั้งหมดก็ราวๆ 250,000 บาท ศิลปินก็เป็นเพื่อนกันเลยจ่ายถูก ถ้าจ่ายราคาเต็มไม่มีทางพออยู่แล้ว สปอนเซอร์ก็ช่วยบ้างนิดหน่อย ตอนจัดงานครั้งที่ 2 เคยขอสปอนเซอร์ตามร้านค้าในเมือง ก็ช่วยหลักพัน แต่ให้บัตรไปมางานแป๊ปนึงก็กลับบ้านแล้ว เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
พีวรายุส : แค่เกือบๆ เราจะทำทุกอย่างให้อยู่ในงบที่ตั้งไว้จากการขายบัตร 700 ใบ ถ้าคนมาเกินกว่านั้นคือกำไร สุดท้ายได้กำไรมาก็แบ่งให้ลูกน้องให้เพื่อน ทำงานฮองเอียนมาครั้งที่ 4 แล้ว ถ้าคิดถึงผลกำไร ไม่คุ้มเลย แต่เราไม่ได้มองที่เงินอยู่แล้ว
ถามว่าเบื่อไหม บางทีก็เบื่อ ปีใหม่ทำไมไม่ออกไปเที่ยวกับแฟน ต้องมานั่งลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้วตำรวจมาที่งานบอกว่ามีคนร้องเรียน สาเหตุไม่ใช่เสียงดัง เพราะเราอยู่ไกลไม่รบกวนอยู่แล้ว แต่ร้องเรียนว่าพวกเรามั่วสุม บางครั้งก็สมเพชตัวเองเหมือนกันที่ต้องไปนั่งอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ
ตอนแรกเกือบจะเลิกเหมือนกัน แต่เพื่อนๆ ก็บอกไม่ต้องไปซีเรียสกับงานมาก ไม่อยากให้เลิกทำ คิดไว้ว่าปีนี้อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่จัดติดต่อกัน ต่อไปอาจจะจัดแบบปีเว้นปี แต่การทำงานของเราก็เหมือนชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน วงอินดี้โหยหาพื้นที่ในการแสดงออกอยู่แล้ว เราก็ไม่ทำให้เขาเดือดร้อน ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ซัพพอร์ตให้หมด แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่าตัวก็ไม่ได้เยอะมาก
พีวรายุส : ไม่เครียดเรื่องเงินกับคนดู แต่เครียดเรื่องปัจจัยภายนอก อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่เราเป็นกังวล กลัวว่าจะมีคนมาร้องเรียน ไม่อยากยุ่งกับอะไรที่ต้องขออนุญาต เพราะมันไม่เข้ากับบริบทของงานแบบนี้ และบางทีก็มีคนที่พร้อมจะมองในแง่ลบอยู่แล้ว
เราคิดว่า ผู้ใหญ่หลายคนยังไม่รับฟังความคิดเห็นของเด็กยุคนี้ ไม่รู้ว่ายุคเราต้องการอะไร หรือฟังเพลงแบบไหน เราไม่ได้พูดถึงเพลงในกระแส หรือนอกกระแส เพราะมันหลากหลายกว่านั้น
พีวรายุส : ก็ทำเหมือนที่ทำอยู่ เพื่อให้ผู้ใหญ่เห็นว่าคนมาเยอะนะ แปลว่างานต้องมีอะไรดีหรือเปล่า พอเราทำบ่อยเข้าผู้ใหญ่จะเห็นเอง
พีวรายุส : คิดเอาเองว่ามีน้องๆ กลุ่มหนึ่ง เป็นคนธรรมดาทำงานปกติอยู่ที่บ้าน แต่ชอบฟังเพลงแนวนี้ เราเชื่อว่าคนฟังเพลงนอกกระแสไม่จำเป็นต้องทำงานศิลปะอย่างเดียว คนแบบบ้านๆ ก็มี แต่พวกเขาไม่มีโอกาสไปดูคอนเสิร์ตที่ไหนเลย
เอาง่ายๆ เราอยู่ที่นี่แทบจะไม่ออกไปเที่ยว ถ้าไปก็แนวบ้านๆ กับเพื่อนสมัยเรียน สิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดคือเพลงตลาด เพลงหมอลำ หรือเพลงลูกทุ่งก็สนุกดี ไม่เคยบอกให้คนศรีสะเกษ หรือคนอีสานต้องมาฟังดนตรีนอกกระแส หรือชอบฮองเอียน ให้คนที่นี่เข้าใจและมีพื้นที่ให้พวกเราก็พอ จะมีคนประเภทหนึ่งที่พอพูดคำว่า ‘อินดี้’ ก็เกลียดเลย ทั้งที่ความจริงอยู่เฉยๆ ก็ได้
พีวรายุส : มีคนเข้ามาบอกว่าอยากทำแบบนี้บ้าง ที่ตรงนี้เป็นเหมือนสถานที่สำหรับจัดอีเวนท์ ช่วงกลางปีที่ผ่านมาก็มีคนมาจัดงานศรีษะเกษ มอช เฟส (Sisaket Mosh Fest) เล่นดนตรีฮาร์ดคอร์ มีคนมาเยอะเหมือนกัน แต่ก็คล้ายๆ กับฮองเอียน คือคนในจังหวัดก็น้อยอยู่ดี หลักๆ จะมาจากจังหวัดข้างเคียง
เราอยู่ในโหมดของนักดนตรี ก็จะได้คุยกับคนในวงการนี้มากกว่า ทำให้ยังไม่มีงานศิลปะแบบอื่นมาแสดง แต่ก็โอเค เพราะอย่างน้อยก็มีงานมากขึ้น
พีวรายุส : ก็ดีนะ เราว่าสิ่งที่จะทำให้เกิดอะไรที่แปลกใหม่มันดีอยู่แล้ว อยากให้มีเทศกาลดนตรีนอกกระแสหรืองานประเภทอื่นเกิดมากขึ้น เพราะอย่างน้อยวงดนตรีก็ได้เล่นมากขึ้น คนฟังก็มีโอกาสได้ดู มีทุกจังหวัดได้ก็จะยิ่งดี
พีวรายุส : ในกรุงเทพฯ วงดนตรีอินดี้เยอะมาก พื้นที่สำหรับการแสดงก็เยอะเหมือนกัน มีแคตเรดิโอ (Cat Radio) หรือฟังใจ (Fungjai) เป็นสื่อใหญ่สำหรับคอเพลงนอกกระแส คอนเสิร์ตของศิลปินนอกกระแสจากต่างประเทศเมื่อก่อนมีแค่ 5 - 6 วงต่อปี แต่เดี๋ยวนี้ต้อง 20 วงเป็นอย่างน้อย
ทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ยากที่จะแพร่กระจายมาต่างจังหวัด เพราะคนฟังเพลงก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน แม้คนฟังเพลงนอกกระแสเป็นคนต่างจังหวัดแต่ก็ทำงานในกรุงเทพฯ พอนำคอนเสิร์ตของศิลปินจากต่างประเทศมาแสดงที่ต่างจังหวัด คนก็น้อยอยู่ดี
พีวรายุส : แน่นอน แต่ส่วนตัวเราไม่ต้องการให้ศรีสะเกษกลายเป็นจังหวัดอินดี้ หรือฟังเพลงลึกๆ ขอให้เป็นแบบที่มันเป็น แต่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาหน่อย อย่างดนตรีพื้นบ้าน หรือหมอลำ ถ้าเป็นดนตรีอินดี้อย่างเราก็ไม่ต้องไปคุยกับผู้ใหญ่หรอกเพราะว่าคงไม่เข้าใจ
พื้นที่ตรงนี้ (บ้านไร่มดตัวโต) สามารถเอาวงหมอลำมาจัดคอนเสิร์ต เล่นคืนหนึ่งสัก 7-8 วง ส่วนข้างนอกขายผ้าไหมให้เป็นทางเลือกอื่นนอกเหนือจากงานกาชาด จังหวัดไม่ต้องฟังแพลงแนวเดียวกับเราก็ได้ แต่ก็อยากให้มีเอกลักษณ์ขึ้นมาบ้าง
พีวรายุส : ความคิดสร้างสรรค์ คนศรีสะเกษเก่งๆ หรือกลุ่มคนเรียนศิลปะ หรือดนตรีมีจำนวนน้อยมากกลับมาทำงานที่บ้าน ส่วนมากไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือจังหวัดอื่นๆ ถ้าจะกลับมาก็เหมือนเป็นการพักผ่อนมากกว่า ความคิดสร้างสรรค์เลยไม่เกิดขึ้น
อย่างแม่ฮ่องสอนมีมุมที่คนอยากเข้าไปหาธรรมชาติ ศรีสะเกษถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ก็มีเหมือนกัน แต่ต้องสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว และการไหลเวียนของเศรษฐกิจ ที่จะทำให้คนบ้านเรากลับมาอยู่ที่นี่ได้ อาจจะมองไกลไปนิดนึง แต่ก็ควรเริ่มหรือเปล่า มันสำคัญมากนะเรื่องของปากท้อง ถ้าอยู่ที่นี่ไม่มีงานทำก็อยู่ไม่ได้ จะอาร์ต จะอะไรแค่ไหน ไม่มีเงินก็อยู่ยาก
พีวรายุส : ไม่มีเลย บ้านเมืองนี้อีเว้นท์น้อยมาก ถ้าจะมีก็เป็นงานของจังหวัดอย่างงานกาชาด เทศกาลดอกลำดวนบาน งานผลไม้เงาะทุเรียน อะไรประมาณนี้