โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวต่อประชาชนบริเวณหน้าทำเนียบประธานาธิบดียูเครน ในโอกาสครบรอบ 100 วันการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน โดยเซเลนสกียืนยันที่จะปกป้องประเทศของตนต่อไป และจะทุ่มสรรพกำลังทางการทหารทั้งหมดที่ตนเองมี ไปกับการต่อต้านการโจมตีของรัสเซีย
เซเลนสกีย้ำว่าในปัจจุบันนี้ กองทัพยูเครนได้ “บรรลุสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้” และหยุดยั้ง “กองกำลังอันดับสองของโลก” อย่างรัสเซียเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนยืนยันว่า รัสเซีย “ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของตนเองได้สักอย่าง” และพยายาม “พลิกความไร้พลังอำนาจไปสู่โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนและประชาชน”
แต่ในทางตรงกันข้าม ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียออกมาระบุว่า ประเทศของตน “ได้บรรลุผลลัพธ์ที่มั่นใจ” และอ้างว่ารัสเซียได้ “ปลดปล่อย” บางพื้นที่ออกจาก “กองกำลังนิยมนาซีของยูเครน” อย่างไรก็ดี รัสเซียไม่เคยมีหลักฐานยืนยันคำพูดดังกล่าวของตน ถึงการมีอยู่ของ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ผู้พูดภาษารัสเซียในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครนจากกองทัพ “นีโอนาซี”
รัสเซียเริ่มส่งกองทัพประชิดชายแดนยูเครน ตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ด้วยกองทหารกว่า 150,000 นาย อย่างไรก็ดี มีการออกคำเตือนจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ว่า ยูเครนเสี่ยงต่อการถูกรุกรานของรัสเซีย และมีการทำนายว่ากรุงเคียฟของยูเครนอาจล่มลงภายในระยะเวลา 72 ชม. อย่างไรก็ดี ยูเครนเดินหน้ารบต่อต้านการรุกรานรัสเซีย ภายใต้ความช่วยเหลือด้านอาวุธและมนุษยธรรมของชาติตะวันตก จนสามารถปกป้องประเทศตนเองมาได้กว่า 100 วันแล้ว ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่ารัสเซียเองผิดพลาดล้มเหลวจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และความไม่ชำนาญในพื้นที่ของยูเครน รวมถึงการสั่งการและอาวุธที่ล้าสมัย
ปัจจุบันนี้ รัสเซียเดินหน้าการรุกรานยูเครนในพื้นที่ภูมิภาคดอนบาส ยาวไปจนถึงพื้นที่ทางตอนใต้อย่างเคอร์ซอน ทั้งนี้ รัสเซียสามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของโดเนตสก์และลูฮานสก์ของยูเครนได้แล้ว รวมถึงเมืองท่าสำคัญอย่างมารีอูปอลทั้งหมด เพื่อสร้างเป็นพื้นที่เชื่อมต่อภูมิภาคดอนบาสเข้ากับไครเมียที่รัสเซียยึดไปจากยูเครนนับตั้งแต่ปี 2557
การเข้ารุกรานพื้นที่ยูเครนตะวันออกในระยะที่สองของรัสเซีย เกิดขึ้นหลังจากช่วงปลายเดือน มี.ค.เข้าสู่ เม.ย. รัสเซียได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบกรุงเคียฟ และเมืองทางตอนเหนือของยูเครน เนื่องจากการเข้าทำยุทธการณ์ที่ผิดพลาด จนมีรายงานว่ารัสเซียสูญเสียทหารของตนเองไปกว่าหลายหมื่นราย นอกจากนี้ ยูเครนสามารถต่อต้านรัสเซีย ณ บริเวณเมืองทางตอนเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่คาร์คีฟ จนกองทัพรัสเซียต้องถอยร่นกลับไปยังพื้นที่ทางตะวันออกด้วยเช่นกัน
หลังจากการถอนทัพออกในพื้นที่ของสงครามระยะแรก โลกต่างต้องตกตะลึงกับภาพประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทหารรัสเซียสังหารอย่างเลือดเย็น โดยปัจจุบันนี้ อัยการสูงสุดยูเครนอยู่ระหว่างการเริ่มดำเนินคดีอาชญากรรมสงคราม ซึ่งมีมากถึง 15,000 กรณี โดยมีทหารรรัสเซียวัย 21 ปีรายแรก ที่เพิ่งถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตไปจากการที่เขายิงสังหารชายชราชาวยูเครนที่ไม่มีอาวุธ
ที่มา: