ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาวาระ 2 วานนี้(25 ก.พ.64) ว่า หลังจากนี้ต้องรอ 15 วันตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญก่อนเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบทั้งฉบับในวาระที่ 3 แต่มีปัญหาที่ต้องจับตาการพิจารณาวินิจฉัยชองศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นมีรายงานว่าศาลฯจะพิจารณาในวันที่ 10 มีนาคมนี้ ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาเฉพาะประเด็นที่มีความขัดแย้งกันในทางกฎหมายเท่านั้น แต่เรื่องนี้ยังไม่มีความขัดแย้งเห็นต่างเกิดขึ้น จึงเห็นว่าไม่ใช่อำนาจขององค์กรอื่นที่จะมาพิจารณาวินิจฉัยได้ เพราะหากศาลวินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญกระบวนการก็จะเดินหน้าต่อไป แต่หากวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญกระบวนการก็ต้องล่าช้าออกไป และจะต้องเข้าไปสู่การนับหนึ่งใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาลยุบสภาก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่งผลให้กระบวนการต้องยุติหรือไม่ ประเสริฐ ยอมรับว่า หากมีการยุบสภาก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มองว่าไม่เป็นผลดี ควรที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จก่อนตัดสินใจยุบสภา ประชาชนจะยอมรับได้มากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง ไม่เช่นนั้นประชาชนจะสับสน และมีปฏิกิริยาทางใดทางหนึ่ง
นายประเสริฐ กล่าวถึงการเตรียมปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีต้องพิจารณาตัวบุคคลให้ดี เพราะฝ่ายค้านไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไว้หลายเรื่อง ดังนั้น ควรมีการปรับบางคนออก เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะหากอยู่ในหน้าที่จะมีผลต่อการพิจารณาในทางคดี ทั้งพยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในกระทรวงพาณิชย์ในขณะนี้ ที่ล่าสุดมีการร้องเรียนถึงการโยกย้ายอดีตผู้อำนวยการคลังสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ยืนยันว่า ขณะนี้ได้รวบรวมหลักฐาน เตรียมยื่นให้ ป.ป.ช. สัปดาห์หน้า เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบคณะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วาง โดยเฉพาะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีการจัดซื้อถุงมือยาง และนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย