นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ กรรมการและคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หลายฝ่ายได้แสดงความกังวลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2562 ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการเมือง ซึ่งในข้อเท็จจริงเศรษฐกิจไทย 'ทรุดแรง' เป็นผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโลก คือ
1. การลงทุนภาคเอกชนตลอด 5 ปีลดลง และในเดือนพฤศจิกายน 2561 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าและจำนวนการลงทุนจากต่างประเทศติดลบ 7 เปอร์เซ็นต์ จากเกือบ 900 โครงการ เหลือ 800 กว่าโครงการ เกิดจากภาคเอกชนและต่างประเทศขาดความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศของรัฐบาลทหาร
2. การบริโภคในประเทศต่ำ เพราะประชาชนมีรายได้ลดลง ขณะที่รายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ทำให้ครอบครัวหนึ่งมีหนี้เกือบ 1.8 แสนบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยครอบครัวละประมาณ 20,000 บาท เพราะเม็ดเงินที่รัฐบาลอัดฉีดก็กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มทุนเพียงบางกลุ่มที่ผูกขาด พอจะกระจายเงินงบประมาณให้ประชาชนฐานรากก็เป็นไปในลักษณะแจกเงิน ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนยืนบนลำแข้งของตัวเองได้
3. การท่องเที่ยวซบเซาโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนลดลง นับตั้งแต่เกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต แถมคนระดับผู้นำประเทศยังถล่มซ้ำด้วยคำพูดที่ว่า ‘คนจีนมากันเอง’ ทำให้ปลายปีที่เป็นช่วงวันหยุดยาวของคนจีน ซึ่งเดิมเคยมาไทยในช่วงนี้ 3 แสนคน ลดลงทันที 12 เปอร์เซ็นต์ เพราะเกิดความไม่มั่นใจในรัฐบาลไทย ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการแจกข้าวเหนียวมะม่วงฟรี
4. การส่งออก 2 เดือนหลังของปี 2561 กลับมาติดลบตามเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทแข็ง และการส่งออกในปี 2562 ก็มีแนวโน้มที่ไม่น่าจะดี
โดยรวมทั้งหมด เกิดจากการที่รัฐบาล คสช. ใช้นโยบายผิดพลาด ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจมานาน 5 ปี จึงสามารถพูดได้ว่า ความยากจนไม่ใช่ 'อุบัติเหตุ' แต่เกิดจากการบริหารงานที่ 'ผิดพลาด' ของรัฐบาล และถ้าเลือกพรรคการเมืองที่มีนายกฯ หรือ รัฐมนตรีมาจากรัฐบาลทหารชุดนี้ ประชาชนก็คงต้อง 'ทน' อยู่กับความ 'ยากจน' ต่อไป ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้จำเป็นจะต้องเลือกมืออาชีพเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
