ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมืองพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวยืนยันหลังมีการเผยแพร่รายชื่อส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรค โดยไม่มีรายชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ว่า พรรคได้ทำไพมารีโหวตเสร็จแล้ว โดยรายชื่อทั้งส.ส.แบบแบ่งเขตและ บัญชีรายชื่อ ขณะนี้เรียบร้อยดี
ส่วนที่ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานกำหนดแผนและยุทธศาสตร์ของพรรคอยู่แล้ว รวมไปถึงเป็นผู้นำในการปราศรัยและลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นรวมไทยสร้างชาติ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนการที่ท่านไม่ลงบัญชีรายชื่อ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างยังคงเดินหน้า และจะยังคงเป็นกำลังหลักให้กับพรรคเช่นเดิม ก่อนที่จะย้ำว่ารวมไทยสร้างชาติ ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประยุทธ์ ก็คือรวมไทยสร้างชาติ
ส่วนมีความชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ธนกร กล่าวว่า เท่าที่ตนดูในรายชื่อ ก็คงเป็นเช่นนั้น แล้ววันนี้รวมไทยสร้างชาติก็เดินหน้าในการลงพื้นที่ รวมถึงผู้สมัครเองก็มีความพร้อม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ มีความพร้อมมาก และประชาชนก็ตอบรับพลเอกประยุทธ์เป็นอย่างมากหลังจากที่ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และก็เชื่อว่าแนวโน้มของคะแนนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในบางพื้นที่ ที่มีความนิยมอยู่ในลำดับที่ 2 หรือ 3 ก็ไม่เป็นไร แต่เกณฑ์โดยรวมถือว่าเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ที่พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นวางไว้ มองว่าการที่นายกรัฐมนตรีไม่ลง ส.ส. บัญชีรายชื่อก็ไม่ได้แตกต่างจาก การเลือกตั้งปี 2562 ที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียงแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่วันนี้เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคและเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติเอง นำทีมลงพื้นที่ปราศรัย จึงเชื่อได้ว่าประชาชนจะไว้วางใจมากกว่าปี 2562
เมื่อถามว่าสังคมอาจมองว่าศักดิ์ศรีของนายกรัฐมนตรี ควรมาจากส.สในสภาฯ ธนกร กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะมันอยู่ที่มุมมองเป็น ส.ส.หรือไม่ ก็มาจากประชาชน วันนี้คนเลือกรวมไทยสร้างชาติส่วนหนึ่งก็มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงนโยบายและผู้สมัคร และทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา
ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ได้บอกเหตุผลหรือไม่ถึงสาเหตุการไม่ลงสมัคร ส.สบัญชีรายชื่อ ธนกร ระบุว่า ไม่ได้มีการพูดคุยถึงบริเวณดังกล่าว แค่วิเคราะห์ในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ และเชื่อว่า แม้จะไม่ได้มีรายชื่อในส.ส.บัญชีรายชื่อก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไร ประชาชนก็รู้อยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานยุทธศาสตร์และแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีของพรรค พร้อมย้ำอีกครั้งว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมากกว่าการเลือกตั้งปี 2562
ส่วนการจัดลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ภายในพรรคก็คงเป็นเรื่องของกรรมการบริหาร แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก ในการพิจารณา แต่อยู่ที่ความรู้ความสามารถและความเหมาะสม เพิ่งกลับมาการบริหารเองก็คงต้องคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างจะเป็นไปตามมติของพรรค
ส่วนสาเหตุที่พรรครวมไทยสร้างชาติต้องมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนนั้น กล่าวว่า ไม่มีอะไร เพราะปกติไม่มีอะไรเพราะพรรคอื่นเขาก็เสนอกัน 3 คน แต่วันนี้ที่เราเสนอแค่นี้ เพราะมีความเหมาะสมลงตัวที่สุดแล้ว และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็เป็นหัวหน้าพรรค เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และเชื่อว่าภาพลักษณ์ของนายพีระพันธุ์ ก็มีความใกล้เคียงกับพลเอกประยุทธ์ เป็นคนดีซื่อสัตย์สุจริต และเป็นอดีตผู้พิพากษามาก่อน และเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาสแคนดิเดตพรรคทั้งสองคน
ส่วนจะเกิดความสับสนหรือไม่ว่าเลือก พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะได้ พีระพันธุ์ แทน ธนกร ยืนยันว่า ไม่เกิดความสับสนอย่างแน่นอน เนื่องจากพรรคการเมือง อื่นมีการเสนอชื่อแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี ถึง 3 รายชื่อ และเชื่อได้ว่าจะทำให้พรรคมีพลังมากกว่าเดิม รวมไปถึง พีระพันธุ์เป็นนักการเมืองอาวุโส อยู่วงการการเมืองมานานและไม่มีเรื่องเสียหาย เป็นนักกฎหมาย สามารถช่วยพรรคและประชาชนได้ในหลายอย่าง
อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ว่า ตนเองจะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบเขต ส่วนจะส่งคนไปลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไร เพราะทางพรรคเป็นผู้ดำเนินการ และคาดว่าจะเรียบร้อยดี
เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ที่หลายพรรคมีการลงพื้นที่หาเสียงกันบ่อยขึ้น แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่ค่อยลงพื้นที่หาเสียงกันเท่าไหร่นัก อนุชา ระบุว่า ไม่กลัว เดี๋ยวก็มีดีเอง เดี๋ยวรอดู
เมื่อถามย้ำว่า มีการพูดคุยกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะอดีตกลุ่มสามมิตรหรือไม่ หลังย้ายไปพรรคเพื่อไทย อนุชา ปฏิเสธว่าไม่ได้คุยกัน ก่อนที่จะเดินเข้าห้องประชุมคณะรัฐมนตรีทันที