วุฒิสภาเผยแพร่สรุปผลการทำงานของส.ว. สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ระหว่าง 1 พ.ย. 2563 - 28 ก.พ. 2564 ดังนี้
เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าตามที่ 'วอยซ์' เคยรายงาน ค่าใช้จ่ายโดยประมาณของ 250 ส.ว. ตามคู่มือสิทธิประโยชน์ของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ 2562 ในส่วนของเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่ม แบ่งเป็น ประธานวุฒิสภา 119,920 บาทต่อเดือน รองประธานวุฒิสภาสองคน 115,740 บาทต่อเดือน ส.ว. 247คนละ 113,560 บาทต่อเดือน และทีมงานรวม 129,000 ต่อส.ว.หนึ่งคน (ไม่นับรวมสิทธิประโยชน์อื่น เช่น เบี้ยประชุมคณะกรรมาธิการ ครั้งละ 1,500 และค่าใช้จ่ายในการไปดูงานคณะกรรมาธิการละประมาณ 1 ล้านบาท)
รวมรายจ่าย ส.ว.ต่อเดือน 33,101,960 บาท หนึ่งสมัยการประชุมระยะเวลา 4 เดือน รายจ่าย ส.ว.รวม 132,101,960 บาท
เมื่อเทียบเคียงรายจ่ายของ ส.ว.ต่อผลงานจะพบว่า การประชุมวุฒิสภา 1 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5,504,248 บาท เมื่อคิดเป็นรายชั่วโมงตกชั่วโมงละ 898,652 บาท หรือนาทีละ 14,960 บาท
แน่นอนว่า คำตอบในทางความคุ้มค่าของงบประมาณที่เสียไปนั้น จะต้องทำให้หลายคนเกิดการตั้งคำถาม โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจหน้าที่ในการเป็นสภากลั่นกรองกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากส.ส. ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่หลายฝ่ายหยิบยกเรื่องความคุ้มค่าและการพิจารณากฎหมายที่ล่าช้าว่า สภาที่สองอย่างส.ว. อาจไม่มีความจำเป็นสำหรับสังคมไทย
ขณะที่ด้านการกำกับการบริหารของรัฐบาลผ่านการตั้งกระทู้ ก็จะพบว่า ไม่ต้องสนองทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ กล่าวคือ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลเผด็จการคสช.ที่สืบทอดอำนาจ ไม่ได้ทำให้สังคมเห็นถึงบทบาทการตรวจสอบอย่างเข้มข้น อีกทั้งในแง่ของจำนวนการตั้งคำถามและการตอบสนองจากรัฐก็จะพบว่า มีจำนวนน้อยจนอาจแทบจะไม่ได้รับความสนใจจากฝ่ายบริหารแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับอำนาจด้านการปฏิรูปและกำกับการเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ร่างมาเองกับมือ เพียงทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ เสนอแนะ เร่งรัด ยังทำได้เพียงประชุมพิจารณา 3 ครั้ง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้มาแล้ว 4 ปี ยังไม่มีผู้ใดเห็นผลงานการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม จะได้ก็เพียงแต่การแก้แผนไปมากับข้ออ้างถึงอนาคตหลังการปฏิรูปที่ไม่มีวันมาถึง
ส่วนอำนาจด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นนั้น ก็ไม่อาจทำหน้าที่ตัวแทนของปวงชนชาวไทยในการเฟ้นหาผู้มีความรู้ความสามารถได้อย่างแท้จริง ซ้ำร้ายยังสะท้อนให้เห็นถึงการโต้แย้งทางผลประโยชน์อันเกี่ยวพันกับการแต่งตั้งบอร์ดชุดสำคัญ เช่น คณะกรรมการ กสทช. ซึ่งจะพบว่า ส.ว.เหล่านี้ใช้เวลาอภิปรายถกเถียงในลักษณะเปิดแผลกันเอง เนื่องจากมีการเปลี่ยนตัวบุคคลเป็นคณะกรรมาธิการตรวจสอบความประพฤติ บางรายออกอาการฟาดงวงฟางาไปยังผู้มีอำนาจถึงเจตนาซ่อนเร้นอันเร่งรีบ
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากภาษีประชาชนสำหรับบุคลลเหล่านี้ ยังถูกนำไปใช้ทำลายเจตจำนงเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ เกือบ 100,000 รายชื่อ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตลอดจน เตะถ่วง ยืดเยื้อการแก้ไขกฎหมายสูงสุดที่อาจส่งผลให้พวกเขาเสียประโยชน์ ผ่านการตีรวมในที่ประชุมรัฐสภา แอบอ้างความเป็นคนดีในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับส.ส.ชนิดไม่สำนึกต่อบุญคุณของประชาชนอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง