เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกรายการผ่านแอพพลิเคชั่น พอดแคสต์ไทยคู่ฟ้า โดยกล่าวในหัวข้อ "การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19" ว่า ย้ำว่าการแพร่ระบาดในขณะนี้เป็นการแพร่ระบาดใหม่ในประเทศ ซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกับการระบาดในรอบแรก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากให้ทุกคนตั้งข้อสังเกตว่าการระบาดในปีที่แล้ว ด้วยความไม่ประมาทเจ็บแต่จบ เพราะรัฐบาลเลือกการล็อกดาวน์ ทั้งไทยและชาวโลกต่างก็ไม่รู้จักโรคระบาดนี้มาก่อน แต่ก็เป็นการล็อคดาวน์ค่อยเป็นค่อยไปตามจังหวะตามเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
"รัฐบาลคำนึงถึงสุขภาพและปากท้อง จนเราประสบความสำเร็จในขณะที่หลายประเทศไม่กล้าปิดประเทศ หรือตัดสินใจเมื่อสายไป สุดท้ายก็ต้องล็อคดาวน์อยู่ดี แต่ก็ไม่สามารถควบคุมโรคได้จนถึงทุกวันนี้ที่มีการระบาดและรอบ 2 หรือ 3 สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องดังนั้นเราต้องดูต่างประเทศด้วย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่่า คนไทยมีคติภาษิตอยู่แล้วว่า 'เจ็บแล้วต้องจำ' ทุกอย่างที่ผ่านมาจึงเป็นบทเรียนและบันทึกเป็นสถิติไว้เพื่อวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเชื่อมั่นว่าเรารู้จักการรับมือโรคนี้มากขึ้น และปรับมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับการแพร่ระบาด โดยต้องตั้งบนหลักวิชาการและบริบทของประเทศไทย
"การที่เราจะปิด สถานประกอบการใดก็ต้องพิจารณาจากตัวเลขสถิติที่สะท้อนการแพร่ระบาดของโรค ซึ่ง ศบค. พบว่าการแพร่ระบาดร้อยละ 40 มาจากชุมชน ตลาดร้อยละ 4 สถานบันเทิงและบ่อนการพนันร้อยละ 3 ในขณะที่ร้านอาหารร้อยละ 1 ตัวเลขเหล่านี้ จึงสะท้อนออกมาเป็นข้อกำหนดและมาตรการของ ศบค." พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ส่วนที่มีหลายคนอ้างว่าการสั่งปิดตลาด แต่ไม่ปิดห้างสรรพสินค้าเพื่อเอื้อเจ้าสัว ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ถือเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไร้ตรรกะและไร้ข้อมูล
"จะเห็นว่าในครั้งนี้รัฐบาลเลี่ยงการล็อคดาวน์ทั่วประเทศได้โดยหันมาใช้การแบ่งโซนพื้นที่และกำหนดมาตรการควบคุมให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการให้สอดคล้องในแต่ละจังหวัด ในอนาคตอันใกล้จะมีการฉีดวัคซีนนั้นก็เป็นมาตรการเสริมในการป้องกันและควบคุมโรค แต่มาตรการหลักทุกพื้นที่อย่างจำเป็น ต้องการ์ดไม่ตก และมีวินัยอย่างเต็มที่เหมือนเดิม" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าทุกคนได้ติดตามการรายงานสถานการณ์จาก ศบค. อย่างใกล้ชิดทุกวัน จะเห็นว่า รัฐบาลมีพัฒนาการไปในทางที่ดียังอยู่ภายใต้การควบคุม ส่วนในช่วงแรกที่เกิดการระบาดใหม่ที่หนักหน่วงกว่าปีที่แล้วนั้น เพราะเกิดจากการระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว งานรื่นเริงที่มีเครื่องดื่มมึนเมาและบ่อนการพนัน
"หลังจากนี้จะติดตามสอบสวนโรคอย่างไม่ลดละและมีการตรวจเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างแนวกันชนไม่ให้มีการแพร่ระบาดออกนอกพื้นที่ เช่น ในโรงงานต่างๆ ในจ.สมุทรสาคร ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลมาก ซึ่งปัจจุบันเพื่อผู้ติดเชื้อลดลงรัฐบาลได้ปรับมาตรการให้ยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น อีกทั้งกำชับหน่วยงานความมั่นคงให้ควบคุมและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด พร้อมระบบเข้าตรวจตามแนวชายแดนที่เข้มข้นมากขึ้นในยามวิกฤต" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ถือเป็นพลังทางสังคมที่เป็นส่วนร่วม เป็นยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วยให้บ้านเมืองปลอดภัยในทุกมิติ
"หากเราช่วยกันเป็นยามเฝ้าแผ่นดินก็จะแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน และได้ผลสัมฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพมากดีกว่าโทษกันไปมา เราต้องร่วมมืออย่าปล่อยให้คนไม่ดีคนชั่วหรือคนทำความผิดโจรผู้ร้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเรา โดยมีมาตรการทางสังคม" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้สร้างกลไกเสริมเชื่อมโยงกับ ศบค. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ สร้างโครงข่ายแบบรังผึ้ง ขณะที่กระทรวงกลาโหมและตำรวจดูแลสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด โดยเฉพาะการเร่งตรวจค้นหาจับกุมบุคคลที่มั่วสุมทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดและต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยต้องดำเนินคดีและส่งฟ้อง ขณะเดียวกัน หากสถานประกอบการใด ไม่สามารถดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดได้ ก็จะให้พิจารณาหยุดการดำเนินการ
"หลักการทำงานของผมเน้นการป้องกันและเชิงรุกในทุกเรื่อง สิ่งสำคัญการแก้ปัญหาใดๆ ต้องแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เช่น กรณีวัคซีนก็ต้องไม่เป็นผู้ซื้อตลอดไป เราต้องแสวงหาโอกาสและช่องทางที่จะเป็นผู้ผลิตหรือผู้สร้างนวัตกรรมด้วยตนเองให้ได้ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ส่วนการแก้ปัญหาโควิดก็ได้มีการตรวจเชิงรุก ควบคู่การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งในเรื่องการตรวจเชิงรุกบางคนก็บอกว่าไปตีรังแตนหรือไม่ เพราะทำให้ตัวเลขสถิติผู้ติดเชื้อสูง อาจสร้างความตระหนก แต่ผมมองว่าเป็นการดับไฟที่ต้นตอมากกว่า" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันบ้านเมืองโชคดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือทุกภาคส่วนสามัคคีกัน ถือเป็นจุดแข็งของคนไทยที่เมื่อมีภัยก็ร่วมมือกัน และไม่ควรที่ใครโดยเฉพาะคนไทยด้วยกันจะมาดูแคลนคนไทย ดูแคลนบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
นายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนใครที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนแล้วสื่อสารออกไปไม่ตรงกับความเป็นจริง เชื่อว่าความจริงเหล่านี้จะทำให้ทุกคนสบายใจและหันมาร่วมมือมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามนั้นย้ำว่ามีความจำเป็น เพื่อเป็นการแยกผู้ป่วยโควิดออกจากผู้ป่วยปกติอื่นๆ ไม่ให้มีความเสี่ยงและเป็นอันตราย
ขณะนี้หลายพื้นที่มีการเสียสละสร้างโรงพยาบาลสนามและไม่มีใครต่อต้านแล้ว ทำให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับการติดต่อจากภาคเอกชนในหลายจังหวัดในการสนับสนุนพื้นที่
"ต้องขอขอบคุณประชาชนพร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่ช่วยกันเสียสละทุ่มเทเผชิญรับความเสี่ยงไปด้วย ตนขอให้ทุกคนปลอดภัยประชาชนและเจ้าหน้าที่ปลอดภัย นายกฯและรัฐบาลก็จะสบายใจขึ้น" นายกรัฐมนตรีกล่าว