จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก ทนายนิด้า โพสต์ข้อความเกี่ยวกับคนไข้สาวถูกหมอสูติฯ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งล่วงละเมิดคนไข้สาวขณะเข้ารับการตรวจภายในที่คลินิกแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ โดยคนไข้เข้าแจ้งความดำเนินคดี และมีการเจรจาให้เงินเพื่อให้เรื่องเงียบ ขณะที่แพทย์คนดังกล่าวเข้ามอบตัวปฏิเสธและขอสู้คดี
ล่าสุด นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ตนได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลจังหวัดนครสวรรค์ ลงติดตามเรื่องนี้ พร้อมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแล้ว เพราะถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมแพทย์ ส่วนเรื่องมาตรฐานต้องไปดูที่คลินิกว่าได้มาตรฐานหรือไม่ แต่ในส่วนที่ระบุว่า แพทย์คนดังกล่าวทำงานที่โรงพยาบาลรัฐ คือกระทรวงสาธารณสุขนั้น ได้กำชับให้ไปตรวจสอบ เบื้องต้นขอติดตามผลการสอบสวนก่อนว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะคดีล่วงละเมิดทางเพศ เป็นคดีอาญา ต้องมีการลงโทษทางวินัยราชการอยู่แล้ว สำหรับเรื่องพักงาน ต้องรอดูข้อเท็จจริงก่อน
ด้าน นพ.บุญชัย ธีระกาญจน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นทราบว่า ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครสวรรค์ประชารักษ์ ได้เรียกตัวแพทย์คนดังกล่าวเพื่อหารือแล้ว แต่ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดภายในคลินิกส่วนตัว ไม่ใช่สถานที่ราชการ แต่ด้วยระบบราชการ เจ้าตัวรับราชการอยู่ เรื่องทำให้เสื่อมเสีย อาจนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำความเสื่อมเสียกับราชการ
วันนี้ (16 พ.ย.) พ.ต.ท.บุญเชิด จันทร์มณี รอง ผกก. (สอบสวน) ในฐานะหัวหน้างานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ เจ้าของคดี เปิดเผยว่า ภายหลังออกหมายเรียกนายจักรพงษ์ ลีลาพร อายุ 53 ปี แพทย์สูตินารีเวชโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัด (โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์) และเจ้าของคลินิกแห่งหนึ่ง มารับทราบข้อกล่าวหาใน 2 ข้อหา คือ กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ฯ และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น แต่ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการรวบรวมสำนวนการสอบสวน พร้อมหลักฐานเอกสารการตรวจร่างกายผู้เสียหายของโรงพยาบาลตำรวจ
นอกจากนี้ทางพนักงานสอบสวนต้องรอผลการส่งตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือจากพิสูจน์หลักฐานประมาณ 10-15 วัน จากนั้นจึงจะลงความเห็นส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาต่อไป เพราะว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนทำสำนวนมานานตั้งแต่ผู้เสียหายมาแจ้งความช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา สำนวนจึงสมบูรณ์และผลการตรวจจาก รพ.ตำรวจก็ส่งมาแล้ว เบื้องต้นผลการตรวจไม่พบคราบอสุจิ แต่พบร่องรอยบางอย่างเท่านั้น คือผลการตรวจไม่ชัดเจนเนื่องจากผู้เสียหายไม่ได้เดินทางมาตรวจในทันทีทันใด ทั้งระยะเวลานานกว่า 10 วัน
ด้าน นายจักรพงษ์ ลีลาพร อายุ 53 ปี แพทย์สูตินารีเวช เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จะไม่ขอเปิดเผยอะไรขณะนี้ เพราะว่าสงสารผู้เสียหายมาก กลัวว่าผู้เสียหายคิดสั้นหรือเครียดไปมากกว่านี้ ยอมรับที่ผ่านมามีการติดต่อกัน แต่ทุกอย่างเป็นการพูดคุยเชิงเทคนิคทางการแพทย์ เช่นหมอใช้คำว่า “ที่รัก” เพื่อกระตุ้นการรักษาเท่านั้น เพราะหมอทราบว่าคนไข้เป็นอย่างไรแต่บางอย่างเป็นเรื่องของจรยาบรรณไม่สามารถเปิดเผยได้ จึงขอไม่ตอบโต้จะขอไปสู้ในชั้นศาลต่อไป
ทั้งนี้หลังมีข่าวแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ทำให้คุณแม่ของตนเองเครียดมาก สงสารแม่มาก จึงไม่ขอเปิดเผยอะไร และเช้าวันนี้ยังคงทำงานตามปกติ และมีกำหนดการผ่าตัดต่อหมันคนไข้ด้วย ส่วนการทำงานที่โรงพยาบาลและคลินิกยังคงทำงานตามปกติเช่นกัน เพราะว่าคนไข้ยังติดต่อมาเพื่อสอบถามและเดินทางมารักษาตามปกติ
ส่วนการทำงานที่โรงพยาบาลนั้น ทางผู้อำนวยการได้สอบถามและเรียกให้ตนไปชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมรายงานไปยังปลัดกระทรวงสาธารณสุขทราบตามกรอบราชการแล้ว ตนยังคงทำงานไปตามปกติเพื่อต่อสู้คดี ซึ่งเมื่อคืนได้ปรึกษากับครอบครัวและตั้งทนายต่อสู้คดี ส่วนแพทยสภาจะมาตรวจสอบหรือสอบสวนก็ยินดี และจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมชี้แจงทุกประเด็น ยังยืนยันว่าเป็นการรักษาและเป็นการเข้าใจผิดของคนไข้ ว่าที่ผ่านมาตนสัมผัสคนไข้รายนี้ ทราบว่ามีคนคอยแนะนำอะไรบางอย่าง ส่วนเงินที่โอนไปให้นั้นผู้เสียหายบอกว่าต้องการไปสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ จึงยอมโอนเงินให้ดังกล่าว
โฆษกแพทยสภา เผยอย่ากังวลหาหมอสูติหลังมีข่าว
พญ.ชัญวลี ศรีสุขโข โฆษกแพทยสภาและในฐานะสูตินรีแพทย์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาจริยธรรมทางการแพทย์ โดยครอบคลุมทั้งเรื่องความเสื่อมเสียในวิชาชีพและทำให้คนไข้เกิดความวิตกกังวลในการรับบริการ หากพบว่าเป็นข่าวที่มีผลกระทบต่อวงกว้าง ก็จะนำเข้าสู่การพิจาณาของคณะอนุกรรมการจริยธรรมได้ทันที เช่นเดียวกับกรณีที่มีผู้ป่วยมาร้องทุกข์กล่าวโทษที่แพทยสภา โดยทีมนิติกรของแพทยสภาจะรวบรวมข้อมูลเสนอเลขาธิการแพทยสภา
พญ.ชัญวลี กล่าวด้วยว่า จากปัญหานี้ไม่อยากให้คนไข้รู้สึกกังวลหรือ กังวลกับการตรวจภายในจนไม่กล้ามารับการรักษา เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทย มีสัดส่วนของแพทย์สูตินรี เป็นผู้หญิงมากถึงร้อยละ 80 ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกขอรับบริการได้ หากไม่สะดวกใจ
ขณะเดียวกันในการตรวจจะต้องมีมาตรฐานคือมีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วยเสมอ เพราะถือเป็นพยานบุคคลและหากรู้สึกเจ็บขณะขาหยั่งก็สามารถแจ้งแพทย์ หรือผู้ช่วยที่อยู่ร่วมด้วยได้ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่จะเป็นกับทุกคนและหากคนไข้มีโรคหรือมีอาการปวดท้อง หรือต้องการตรวจอวัยวะภายใน หรือตรวจประจำปี ,ตรวจหามะเร็งปากมดลูก ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรมารับการตรวจปกติเช่นเดิม