ไม่พบผลการค้นหา
รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เสนอ พักชำระหนี้ กยศ. 5 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี และ กยศ. ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการฟ้องร้องเรียกเงินคืนจากลูกหนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องให้เด็กไทยเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี

นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เสนอทางแก้ปัญหาการบริหารโครงการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่เกิดปัญหาขณะนี้ ด้วยการพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี เพื่อต่อลมหายใจให้กับประชาชนที่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การพักชำระหนี้ไม่ได้ยกหนี้ให้ เพียงแต่พักการใช้หนี้ไว้ก่อน ระหว่างนั้นค่อยมาตกลงในรูปแบบของเงื่อนไขการจ่ายหนี้ ที่สำคัญการดำเนินนโยบายดังกล่าว สามารถช่วยประหยัดงบประมาณในการฟ้องร้องลูกหนี้จำนวน 2.5 ล้านราย คิดเป็นงบกว่า 20,000 ล้านบาท

จากข้อมูล กยศ. มีจำนวนลูกหนี้สะสมทั้งสิ้น 5.4 ล้านคน มูลหนี้รวมทั้งหมดกว่า 5.7 แสนล้านบาท ในปี 2561 กยศ. มีลูกหนี้ที่ต้องชำระคืน ประมาณ 3.5 ล้านคน มูลค่าหนี้รวมประมาณ 4 แสนล้านบาท และ 2.5 ล้านคนกำลังจะโดนฟ้อง ซึ่งทาง กยศ. มีศักยภาพในการฟ้องร้องต่อปีที่ 100,000 คน ซึ่งกำลังกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะ กยศ. ต้องเสียค่าจ้างทนายความในการดำเนินคดี ที่ 10,000 บาทต่อคดี คืองบประมาณที่เสียไปกับการจ้างทนาย ชัดเจนว่าบริษัทกฎหมายได้กำไร แต่ยังไม่รู้ว่าจะตามหนี้กลับมาได้แค่ไหน 

ขณะเดียวกัน นายศุภชัย ยังเห็นว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาระยะยาวควบคู่กันไปด้วย คือ นโยบายให้โอกาสทางการศึกษา ขยายการเรียนฟรีไปต่อจนจบปริญญาตรี เพราะสุดท้ายเด็กที่เรียนจบปริญญาตรีก็จะทำงานและจ่ายภาษีคืนแก่ประเทศชาติอยู่แล้ว เนื่องจากในปัจจุบัน คนเหล่านี้ต้องมากู้ เพราะระบบการศึกษาไทย มันดูแลไม่ครอบคลุมทั่วถึง สังคมคาดหวังให้เด็กเรียนต่อถึงระดับปริญญาตรี แต่รัฐสนับสนุนให้เรียนฟรีเพียง 15 ปี หรือแค่จบมัธยม หลังจากนั้นเด็กต้องหาเงินเรียนเอง เมื่อไม่มีเงินก็จำเป็นที่จะต้องกู้เงินมาเรียน ส่งผลให้เกิดปัญหาเช่นในปัจจุบัน 

“คนมีหนี้พยายามใช้หนี้ทุกคน เพียงแต่สภาพเศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร ต้องแก้ตามระบบ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน รวมทั้งรัฐต้องเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งทางภาครัฐจำเป็นที่จะต้องหามาตรการในการต่อยอดการศึกษาโดยที่เด็กนักศึกษาไม่ต้องเป็นหนี้ทันทีที่จบมา 

ปัญหาของกองทุน กยศ. ไม่ใช่เป็นเรื่องของวินัยการใช้เงิน แต่เป็นปัญหาที่รัฐไม่สนับสนุนการศึกษาไปจนสุดทาง รัฐจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดงานงบประมาณที่เหมาะสม หางบประมาณมาสนับสนุนการศึกษาให้กับเยาวชนมากขึ้น เพราะหากเราสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ก็จะสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพ ไว้พัฒนาประเทศ ทางพรรคภูมิใจไทยเชื่อเช่นนั้น”