พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัวได้เพียง 1.6% เท่านั้น พลเอกประยุทธ์อย่าเข้าใจผิดคิดว่าดี ต้องถือว่าย่ำแย่หนัก หลังจากที่ในปี 2563 เศรษฐกิจทรุดหนักตกไปถึง -6.2 % รวม 2 ปียังคงติดลบอยู่ถึง - 4.6% ซึ่งแสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างปฏิเสธไม่ได้ (“ดีกว่าคาด” ไม่ได้แปลว่าดี แต่หมายถึงคาดกันว่าจะเละกว่านี้) เพราะแม้ในปี 2563 ประเทศต่างๆทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด
แต่ในปี 2564 ประเทศต่างๆกลับฟื้นตัวกันได้หมดยกเว้นประเทศไทย เช่น สหรัฐฟื้นจากปี 2563 ที่เศรษฐกิจทรุด -3.5% มาขยายตัวถึง 5.7% ในปี 2564 หรือ ประเทศเกาหลีใต้ทรุด -0.85 % ในปี 2563 กลับมาขยายได้ถึง 4.28 % ในปี 2564 หรือ ประเทศสิงคโปร์ในปี 2563 เศรษฐกิจทรุดถึง - 5.4 % แต่ในปี 2564 ขยายได้ถึง 7.2 % เป็นต้น ยังไม่พูดถึงประเทศจีนที่ปี 2564 ขยายตัวได้ถึง 8.1% แต่ไทยกลับขยายตัวได้ต่ำเตี้ย แสดงถึงรายได้ของคนทั้งประเทศยังคงลดลง และยังต้องมาเจอกับ ภาวะ “แพงทั้งแผ่นดิน” ที่ข้าวของแพงขึ้นมาก
ทั้งนี้แปลกใจว่าเหตุใด สภาพัฒน์ฯ จึงแถลงตัวเลขเศรษฐกิจช้า ซึ่งปกติจะแถลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ แต่ติดวันมาฆะบูชา ก็น่าจะแถลงวันที่ 17 หรือ 18 กุมภาพันธ์ แต่อาจเพราะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม. 152 ในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ เลยเลื่อนการแถลงตัวเลขใช่หรือไม่ น่าจะเพราะรัฐบาลอับอายและกลัวว่าจะถูกนำข้อมูลมาถล่มในการอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม ม. 152 เพราะความล้มเหลวด้านอื่นๆก็หนักอยู่แล้ว ถ้าตัวเลขออกมาแบบนี้คงรับกันไม่ไหวแน่
นอกจากเศรษฐกิจปีที่แล้วจะยังคงหนักแล้ว เศรษฐกิจปีนี้ก็ยังไม่มีทิศทางที่จะดีขึ้นมากนัก โอกาสที่จะขยายตัวถึง 4% ตามที่รัฐบาลขายฝัน คงเป็นได้ยาก เหมือนที่รัฐบาลขายฝันตอนต้นปีที่แล้วว่าจะขยายได้ 4% แต่พอสิ้นปีขยายจริงได้เพียงแค่ 1.6% และปีนี้ก็คงไม่ต่างกัน โดยมี 5 เหตุผล ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ต่ำ ดังนี้
1. ราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นอีก ตอนนี้ราคาน้ำมันทะลุ $ 97 ต่อบาเรล เกือบแตะ $100 ต่อบาเรลแล้ว อีกไม่นานคงทะลุ $100 แน่ และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีก และ ราคาจะสูงไปอีกอย่างน้อย 6-9 เดือน หรือ อาจจะเป็นปีๆได้เลย ราคาน้ำมันที่สูงจะเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย เพราะนอกจากจะทำให้ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศมากขึ้นในการนำเข้าน้ำมัน โดยในปี 64 ประเทศไทยต้องจ่ายค่านำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาท ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นสาเหตุทที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้น้อยลง
2. ข้าวของแพงและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนลำบากเพราะรายได้ไม่เพิ่มแถมรายได้ยังลดลง แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นโดยในเดือนธันวาคม 2564 มีเงินเฟ้อ 2.17 % และ ในเดือนมกราคมปีนี้มีอัตราเงินเฟ้อที่ 3.23 % และน่าจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีก
โดยที่อัตราเงินเฟ้อในต่างประเทศได้พุ่งขึ้นสูงมากเช่นในสหรัฐอัตราเงินเฟ้อเพิ่มถึง 7.5% สูงที่สุดในรอบ 40 ปี หรือ ในยุโรปอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5% เป็นต้น โดยที่เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อของไทยจึงหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะไม่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของเงินเฟ้อของโลก ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อจะไปลดการขยายตัวของเศรษฐกิจ และ แบงค์ชาติเองก็ได้ออกมาเตือนแล้วว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายได้ไม่เกิน 3.4% จากปัญหาเงินเฟ้อนี้
3. อัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้น ตามอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ โดยสาเหตุหลักมาจากที่เศรษฐกิจในสหรัฐดีมาก และก็มีเงินเฟ้อที่สูงมาก ธนาคารสหรัฐจึงมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายหนในปีนี้ ซึ่งประเทศไทยคงจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ คงจะต้องขึ้นตาม มิเช่นนั้นเงินทุนอาจจะไหลออกนอกประเทศได้ ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น และ เป็นภาระเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจที่กำลังย่ำแย่อยู่แล้ว มีหนี้สงสัยจะเสียกว่า 2 ล้านล้านบาท และจะเพิ่มภาระของหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 1.435 ล้านล้านบาทแล้ว ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดลง
4. รัฐบาลมีเงินเหลือน้อยในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เนื่องมาจากรัฐบาลใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองมาตลอดแต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ ทำให้ต้องขยายกรอบหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะใกล้ทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้เงิน มิเช่นนั้นอาจจะต้องขยายกรอบวงเงินกันอีก ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่ารัฐเก็บรายได้ได้เพียง 15-16% ของจีดีพีเท่านั้น ถ้ารัฐบาลกู้เงินมากจะไม่สามารถใช้หนี้ได้ การที่รัฐบาลเหลือกระสุนน้อยลงจะไม่มีเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เศรษฐกิจไทยจึงจะขยายได้น้อยลง
5. คนไทยไม่มีเงินในการจับจ่ายใช้สอย ในขณะที่ประเทศอื่นเศรษฐกิจฟื้น ประชาชนเขามีรายได้เพิ่ม พอวิกฤตการณ์โควิดเริ่มจะผ่านพ้น คนของเขาจึงไปจับจ่ายใช้สอยกันมากเพราะมีรายได้เพิ่ม แต่คนไทยกลับตรงกันข้าม แม้อยากจับจ่ายใช้สอยแต่ไม่มีเงิน เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้น ดังนั้นการที่จะคาดหวังว่าคนไทยจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจะเป็นไปได้ยาก จากรายได้ที่ลดลง แถมคนยังตกงานเป็นจำนวนหลายล้านคน การใช้จ่ายของประชาชนจึงไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้
นี่เป็น 5 สาเหตุหลักที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้น้อย และเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะไม่เข้าใจ เพราะพรรคเพื่อไทยได้อภิปรายในสภาแล้ว แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตอบในเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งไม่มีทางเลยที่พลเอกประยุทธ์จะนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นกลับมาได้ การที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบจากปี 2562 เป็นปีที่ 3 ติดกัน และอาจจะถึงปีที่ 4 ในปีหน้าเพราะความล้มเหลวในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จะทำให้คนไทยลำบากกันอย่างสุดๆ
ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ยังไม่รู้ตัวว่าหมดสภาพในการบริหารประเทศแล้ว จากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองภายในพรรครัฐบาลเอง ปัญหาข้อกฏหมาย 8 ปี แต่ก็ยังจะฝืน ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้น และ จะทนกันไม่ไหว พลเอกประยุทธ์ต้องเจอกับปัญหาที่จะเพิ่มขึ้นทุกด้านซึ่งไม่น่าจะไปต่อได้แล้ว ขออย่าได้ฝืนต่อไปอีกเลย เพราะมีแต่จะแย่ลงเท่านั้น