ไม่พบผลการค้นหา
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์ มีความพร้อมลงเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่อยากให้มีความชัดเจนจาก กกต. มั่นใจได้ ส.ส.มากกว่า 100 เขต ส่วนกรณีรัฐบาลแห่งชาติ ยังไม่ความจำเป็น เชื่อประชาชนและทั่วโลก จับตาประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำสมาชิกพรรค ทำบุญตักบาตร ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บริเวณลานคนเมือง ศาลากลางกรุงเทพมหานคร โดยในงานมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรพรสงฆ์ จำนวน 68 รูป อีกทั้งกรุงเทพมหานคร ยังได้อัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตร (พระพุทธรูปประจำจังหวัด) มาประดิษฐาน ณ ลานคนเมือง เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการะบูชาไปจนถึงเวลา 15.00 ของ วันนี้ (1 ม.ค.62) จากนั้นจะอัญเชิญนำไปประดิษฐาน ณ หอพระภายในศาลาว่าการกรุงเทพมหานครต่อไป

นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเดินหน้าเตรียมการเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ถึงแม้จะมีกระแสข่าวว่า ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งอาจมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก็ตาม โดยคาดว่า สัปดาห์แรกจะมีความชัดเจนเรื่องรายชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร หรือ ส.ส. ทั้ง 350 เขต และ ผู้สมัครส่วนใหญ่ก็เริ่มลงพื้นที่หาเสียงแล้ว ส่วนจะมีการประกาศรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดได้เมื่อไหร่นั้น จะเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องประกาศภายใน 7 วัน หลังคณะกรรมการบริหารพรรคได้ข้อสรุปรายชื่อผู้ลงสมัครชัดเจน และ จากนั้นทางพรรคจะมีการประชุมผู้สมัครทั้งหมดภายในสัปดาห์ที่ 2 – 3 เพื่อบรรยายเกี่ยวกับรายละเอียดข้อบังคับต่าง ๆ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมเต็มที่ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และมั่นใจว่าจะได้ ส.ส.มากกว่า 100 เขต

ขณะที่การจัดสรรรายชื่อผู้สมัครมีความลงตัวแล้วหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลายเขตเลือกตั้งมีผู้ต้องการลงสมัครหลายคน ทางพรรคต้องพิจารณาผู้ที่เหมาะสมตามหลักของกฎหมาย ส่วนกรณีของนายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.จังหวัดชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความไม่พอใจ ว่า ถูกบีบไม่ให้สงสมัคร ส.ส. นั้น ยังมีประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา และ นายชุมพล ก็ต้องเข้ามาพูดคุยกับทางรองหัวหน้าพรรค เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา และ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่พี่น้องลงสมัครเลือกตั้งคนละพรรค แต่อยู่ที่ความสับสนในการทำกิจกรรม ที่อาจจะทำให้คนเข้าใจผิด ว่า สนับสนุนพรรคไหนอย่างไร ในเขตเลือกตั้งอื่น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีนายสุพล จุลใส สมาชิกพรรค ได้เปลี่ยนไปลงสมัครพรรคอื่นต้องชี้แจงให้ทางพรรคทราบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายสุพล เคยลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะมาลาออกจากพรรคไป และหากนายชุมพล แสดงความต้องการอยากลงสมัครเลือกตั้ง จะให้ลงเขตเดียวกับ นายสุพล ซึ่งเป็นพี่ชายหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าทั้ง 2 คน จะลงสมัครคนละเขตกันอย่างแน่นอน แต่ถ้าทั้ง 2 คน ลงเขตสมัครเลือกตั้งเดียวกันจะทำให้มีปัญหาน้อยลง อีกทั้งภายในพรรคก็มีผู้ที่แสดงความจำนงค์ลงสมัครในเขตเดียวกันกับ นายชุมพล หลายคน แต่ทางพรรคก็ต้องให้โอกาส นายชุมพล เป็นอันดับแรก

นายอภิสิทธิ์ ยังเปิดเผยถึงกรณี มีกระแสข่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เนื่องจากพิพม์บัตรเลือกตั้งไม่ทัน ว่า ส่วนตัวก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่า เกิดจากอะไร เพราะการเลือกถ้านับจากวันสมัคร ก็มีเวลากว่า 1 เดือน อีกทั้งต่างประเทศที่จะต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่มีชื่อผู้สมัคร โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก็ยังสามารถพิมพ์ได้ทัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครออกมายืนยันชัดเจน ว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ จะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่ แต่ส่วนตัวเคยแสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้แล้ว ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง จะต้องทำให้ขบวนการเลือกตั้งเกิดความน่าเชื่อถือ ในฐานะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบการเลือกตั้งโดยตรง จะต้องทำให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจน และ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้เกิดความสับสน เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อส่วนรวม

นายอภิสิทธิ ยังเปิดเผยถึงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีคำวินิจฉัยคดีการครอบครองนาฬิกาหรู ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่มีมูลเพียงพอ ว่า สังคมส่วนใหญ่เกิดข้อกังขามากกลับคำวินิจฉัยที่ออกมา และ ยังไม่มีความชัดเจนในคำอธิบายทั้งหมด เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่า ป.ป.ช. ควรชี้แจงให้ชัดเจน ว่า ประเด็นที่พิจารณาไปแล้ว มีประเด็นอะไรบ้าง เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการแสดงบัญชีทรัพย์สิน และ หนี้สิน ของพล.อ.ประวิตร และ ป.ป.ช.จำเป็นต้องอธิบายบรรทัดฐานของการแสดงทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า จะต้องทำอย่างไร อีกทั้ง ป.ป.ช. ยังไม่ชี้แจง ว่า เป็นการรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเกินหรือไม่ สำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งการเมือง

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังเปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวให้มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น ว่า ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ไม่ใช่ตั้งตัวเองขึ้นมา แล้วชักชวนให้คนอื่นมาเข้าร่วมแล้วบอกว่า เป็นรัฐบาลแห่งชาติ แต่ทุกฝ่ายจะต้องเห็นพ้องต้องกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น และจนถึงขณะนี้ตนเองก็ยังไม่เห็นว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น เพราะส่วนตัวเห็นว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการ และ สังคมโลกจับตาอยู่ คือ ประเทศไทยจะสามารถกลับมาสู่ความเป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากลได้หรือไม่ ส่วนการจับมือกับพรรคอื่นเป็นรัฐบาลร่วมนั้น จำเป็นจะต้องมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสนในการบริหารประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้ประชาชนมองว่าเป็นการแบ่งผลประโยชน์กัน