ไม่พบผลการค้นหา
จีนเผยข้อมูลครื่องบินรบพรางตัวรุ่นใหม่ ในงานมหกรรมอากาศยานนานาชาติที่จูไห่ พร้อมปรับกลยุทธ์กองทัพเป็นเชิงรุก ขณะที่รายงานจากผู้เชี่ยวชาญเตือนสหรัฐฯ ระวังกองทัพจีน-รัสเซีย 'แซงหน้า'

เครื่องบินรบพรางตัว หรือ 'สเตลท์' รุ่น J-20 ซึ่งกองทัพจีนพัฒนาขึ้น สามารถยิงขีปนาวุธได้ในขณะบินขับไล่ด้วยความเร็วสูง ถือเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้า และทำให้อากาศยานรบของจีนใกล้ทัดเทียมกับของกองทัพสหรัฐอเมริกาขณะที่ความคืบหน้าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนถือว่าก้าวกระโดดอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีนโยบายเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพจีนนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง

นอกเหนือจากการพัฒนาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ กองทัพจีนยังได้รับคำสั่งจากนายสีให้ผลักดันกลยุทธ์การต่อสู้ให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งอาจต้องพิจารณาแผนการเปิดฉากโจมตี แทนที่จะใช้กลยุทธ์ตั้งรับเหมือนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ากองทัพสหรัฐฯ ขยายกำลังและส่งทหารเข้าประจำการในพื้นที่ต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิกมากถึง 245 จุด และจีนมองท่าทีดังกล่าวว่าเป็นความพยายามครอบงำและแสดงอำนาจของสหรัฐฯ เพื่อถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รัฐบาลพยายามแผ่ขยายไปยัง 65 ประเทศทั่วโลก ผ่านโครงการแถบและทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI)

เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า กองทัพและผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ของจีน พัฒนาสเตลท์ J-20 เมื่อประมาณปี 2543 เป็นต้นมา โดยมีการศึกษาออกแบบ และพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบินสเตลท์รุ่น F-22 และเครื่องบินขับไล่ F-35 ของล็อกฮีดมาร์ติน ซึ่งผลิตให้แก่กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก


AFP-เครื่องบินขับไล่เอฟ35-F35-Lockheed Martin-กองทัพอิสราเอล-เครื่องบินเจ็ต

ด้านคณะกรรมาธิการของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ และจีน เผยแพร่รายงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาบทหนึ่งพูดถึงการจัดระเบียบและปฏิรูปกองทัพสมัยใหม่ของจีนโดยเฉพาะ และใช้ชื่อตอนว่า China's Military Reorganization and Modernization, Implications for the United States

ใจความสำคัญของรายงานว่าระบุว่า ปัจจุบัน กองทัพจีนมีศักยภาพที่เกือบจะทัดเทียมกองทัพสหรัฐฯ และอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทนำด้านการทหารในเวทีโลกได้ เนื่องจากรัฐบาลจีนตั้งเป้าปรับโครงสร้างกองทัพให้มีความก้าวหน้าและทันต่อเทคโนโลยีต่างๆ ภายในปี 2035 (พ.ศ. 2578) และเริ่มดำเนินการผลักดันโครงการด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องระวัง คือ การขยายแสนยานุภาพกองทัพเรือจีนในน่านน้ำต่างๆ ทั่วโลก ภายใต้การเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ในโครงการ BRI ซึ่งหากมีการส่งเรือรบของจีนไปประจำการตามประเทศร่วมโครงการซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ จะทำให้จีนมีโอกาสติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธของตัวเองได้อย่างกว้างไกลและครอบคลุม และ 17 ปีข้างหน้า จีนอาจทัดเทียมหรือแซงหน้าศักยภาพกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ส่วนประเด็นสำคัญอีกประการที่คณะกรรมาธิการฯ แนะนำให้รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาเพิ่มเติม คือ การเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันและชิงการนำในสงครามไซเบอร์

ที่มา: Newsweek/ NBC/ SCMP/ USCC

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: