1. ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โครงการยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road ) ถูกเสนอโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิ้ง เสนอแผนนี้เมื่อปี 2013 เป็นการเชื่อมต่อจีนกับภูมิภาคอื่นในทางบกและทางทะเล โครงการดังกล่าวมีการคมนาคมการขนส่งทางรถไฟ การสร้างถนน สร้างท่าเรือ โครงการนี้นับว่าเป็นโครงการร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 60ประเทศในดินแดนยูเรเซียจะเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟและการเดินเรือทางทะเล
เมื่อปี2015 รัฐสภาของจีนได้มีมติผ่ายุททธศาสตร์ทั้ง 2 เส้นทางทั้งทางบกและทางทะเล โดยเส้นทางบกนั้นจะเชื่อมต่อจีนกับยุโรปโดยผ่านเอเชียกลาง ปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้เปิดการขนส่งทางรางจากจีนไปยังยุโรปแล้ว 4 เส้นทาง คือ
1.เส้นทางจากเมืองอี้อู่ ใน มณฑลเจ้อเจียงไปยังลอนเดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีระยะทางทั้งหมด 12,000 กิโลเมตร ใช้เวลาในการขนส่งสินค้าเที่ยวละ 16 วัน
2.เส้นทางคือเส้นทางจากเฉิงตูไปยังลอดซ์ ประเทศโปแลนด์ โดยมีระยะทางทั้งหมด 9,559 กิโลเมตร ใช้เวลาในการขนส่งสินค้า
3.เส้นทางจากฉางชุน มณฑลจี้หลินไปยัง ฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมันนี โดยเส้นทางนี้จะใช้เวลาขนส่งสินค้าประมาณ 12-15 วัน
4.เส้นทางจากอู่ฮัน ไปยังเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส
2.ศักยภาพกองทัพจีนขึ้นมาเทียบชั้นกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและรัสเซีย
ที่ผ่านมาจีนพัฒนาศักยภาพของกองทัพได้อย่างรวดเร็ว โดยจีนซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างชาติเป็นจำนวนมากเพื่อมาศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีของกองทัพ ปีที่ผ่านมาจีนได้มีการเปิดตัวเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นลำที่ 2 ซึ่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำล่าสุดนี้ชื่อว่า 0001A ประกอบจากเทคโนโลยีของจีนเองทั้งหมด เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่นี้จะเริ่มนำมาประจำการในกองทัพในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งระหว่างนี้จะทดสอบล่องตามน่านน้ำต่างๆ เช่นเดียวกับเรือลำแรก และจะนำไปติดตั้งอาวุธให้เรียบร้อยก่อนใช้งานจริง
สำหรับเรือลำที่สองนี้มีขนาดใหญ่กว่าลำแรกที่จีนซื้อมาจากยูเครน และมีลักษณะภายนอกคล้ายกับเรือเหลี่ยวหนิง แต่มีการยกระดับศักยภาพด้านการต่อสู้และการฝึกฝน นอกจากนี้ยังขยายส่วนที่ใช้จอดเครื่องบินให้มีขนาดกว้างกว่าเดิม
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาจีนยังเปิดตัวครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 คือเครื่องบินที่ใช้เทคโนโลยีหลบหนีการตรวจจับด้วยเรดาร์ ซึ่งเป็นอากาศยานขับไล่โจมตีที่อยู่ในคลาสเดียวกับเครื่องบินขับไล่ เอฟ-22 แร็พเตอร์ (F-22 Raptor) ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา และเครื่องบินรบแบบล่าสุด SukhoiPAK FA ของกองทัพอากาศรัสเซีย นอกจากนี้จีนยังเปิดตัวทดลองเครื่องบิน AG 600 ที่เนเครื่องบินจำลองสะเทินน้ำสะเทินบกที่พัฒนาเองลำแรกของจีนและได้รับการออกแบบให้เป็นเครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
3.จีนสร้างเกาะเทียมในทะเลจีนใต้
การก่อสร้างเกาะเทียมของจีนเริ่มตั้งแต่ปี2013 ใกล้กับบริเวณเกาะพาราเซล ในทะเลจีนใต้ โดยห่างออกไปประมาน 15 กิโลเมตร จากชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของฐานทัพจีนบนเกาะหยงชิ่ง ซึ่งเกาะดังหล่าวกำลังเป็นข้อพิพาท ในทะเลจีนใต้ ทั้งนี้จีนได้อ้างความชอบธรรมในการก่อสร้างเกาะดังกล่าวท่ามกลางความขัดแย้งที่หลายประเทศอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทั้งจีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม รวมถึงไต้หวัน ที่ต่างอ้างกรรมในการครอบครองบริเวณหมู่เกาะนี้ ซึ่งภายใต้พื้นที่พิพาทแห่งนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และคาดว่าอาจมีแหล่งพลังงานทั้งก๊าซและน้ำมันซ่อนอยู่ด้วย
ที่ผ่านมาจีนได้อ้างว่าการสร้างเกาะเทียมดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการทหาร แต่เมื่อเร็วนี้ๆได้มีภาพบนเกาะเทียมดังกล่าวออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนได้สร้างฐานทัพทางการทหารบนเกาะเทียมแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งกองทัพทางทะเลและทหารลาดตระเวณชายฝั่ง คอยดูแลเหนือบริเวณเกาะดังกล่าวนอกจากนี้ ยังพบการก่อสร้างฐานลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนหมู่เกาะดันแคน ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหมู่เกาะพาราเซล สะท้อนว่าจีนอาจจะกำลังพัฒนาเครือข่ายฐานทัพในบริเวณทะเลจีนใต้ เพื่อเสริมหน่วยสู้รบทางอากาศ
การสร้างเกาะเทียมของจีนในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ การละเมิดข้อพิพาทระหว่างประเทศหลังจากที่ฟิลิปปินส์ได้ยื่นเรื่องนี้ต่อศาลโลกเมื่อปี2013 และถือเป็นขยายอาณาเขตของจีนเพิ่มขึ้นในทะเลจีนใต้
4.จีนมีเขตปลอดการพัฒนาลุ่มแม่น้ำแยงซี
นอกเขตเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาแล้ว จีนยังมีเขตปลอดการพัฒนา โดยเขตดังกล่าวเป็นเขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามแนวแม่น้ำแยงซี ซึ่งแผนตั้งกล่าวเป็นโครงการที่มีมาตั้งแต่ปี2011 ซึ่งเขตดังกล่าวได้กำหนดให้พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่อุทยานและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นเขตปลอดการพัฒนา
ปัจจุบันรัฐบาลได้ประกาศให้มีเขตดังกล่าวใน 15 เมืองซึ่งรวมถึง ปักกิ่ง เทียนจิง เหอเป่ย และเขตปกครองตนเองหนิงเซียด้วย พื้นที่เขตดังกล่าวมีพื้นที่รวมกันกว่า 610,000ตร.กม. ซึ่งใหญ่กว่าประเทศยูเครน นอกจานี้ทางรัฐบาลจีนยังมีโครงการจะปลุกต้นไม้เพื่อคืนพื้นที่ป่าให้ได้ขนาดเท่าประเทศไอซ์แลนด์
5. เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวขึ้นมาแถวหน้าของโลก
การพลิกโฉมจากประเทศที่ลอกเลียนแบบเทคโนโลยีก้าวเข้าสู่ประเทศที่เป็นแนวหน้าในการคิดค้นเทคโนโลยี ในช่วงปีที่ผ่านมานวัตกรรมเทคโนโลยีของจีนได้พัฒนาขึ้นในหลายแขนง ทั้งการแพทย์ วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงการทำธุรกรรมทางการเงินที่ปัจจุบันจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นสังคมที่ไร้เงินสดแถวหน้าของโลก และยังประกาศว่าภายในปี2020 เงินสดจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายของประชาชนอีกต่อไป
ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยเทนเซน รายงานว่าภายใน10ปีที่ผ่านนี้ บริษัทที่คิดค้นและวิจัยเรื่องAI เพิ่มขึ้นจาก 57 บริษัทเป็น 592 บริษัท นอกจากนี้ในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่19 กล่าวว่ารัฐบบาลจีนได้สนับสนุน AI ให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของชาติและให้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของจีน
ในปีที่ผ่านมาจันประสบความสำเร็จในการพัฒนาAIทางการแพทย์และได้มองใบอนุญาตรักษาโรคให้แก่ หุ่นยนต์AIตัวแรกที่สามารถสอบผ่านข้อเขียนทางการแพทย์ได้ นอกจากนี้ยังพัฒนาหุ่นยนต์ผู้ช่วยผ่าตัด รวมไปถึงการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่าง "ลิง" ที่มีดีเอ็นเอใครเคียงกับมุษญ์เพื่อนำมาวิจัยทางการแพทย์ต่อไป
6.คนจีนมีประชากรที่ออกไปท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก
ปีที่ผ่านมาตัวเลขของนักท่องเที่ยวจีนที่ออกไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศพบว่ามีการออกไปเที่ยวกว่า 4.53 พันล้านครั้ง ตัวเลขดังกล่าวเท่ากับประชากรจีน1.38 พันล้านคนออกไปเที่ยวคนละ 3 ครั้งต่อปี ซึ่งทำให้มูลค่าการท่องเที่ยวจากจีนสูงที่สุดในตลาดท่องเที่ยวของโลก ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายเงินสำหรับการท่องเที่ยวไปกว่า 680 พันล้าน เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปีนี้คาดการณณืว่าในช่วงตรุษจีนจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศกว่า 6.5ล้านคน ตามการประเมินของบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6 เปอร์เซ็น แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะออกไปเที่ยวทั่วโลก แต่ในปีที่ผ่านมาก็มีรายงานการเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายและถูกฆ่าตายกว่า 700คน โดยส่วนมากเกิดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
7.การแสดงความเห็นและการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนยังเป็นเรื่องต้องห้าม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านนี้จีนได้ปราบปรามนักกิจกรรมเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงประชาชนธรรมดาที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เมื่อปี2016 ทางจีนได้จับเจ้าของร้านขายหนังสือที่วิพากษ์วิจารณณืพรรคคคอมมิวนิสต์ในฮ่องกงถึง 5คน และในปีที่ผ่านมานักนณรงค์เคลื่อนไหวทางการเมืองหลิว เสี่ยวปอ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เสียชีวิตในโรงพยาบาลด้วย “โรคมะเร็ง” ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาจากรัฐ เสี่ยวปอถูกตัดสินจำคุก 11ปี ข้อหาปลุกระดมและโค่นล้มนอกจากนี้แม้แต่สิทธิในการแสดงออกเรื่องเพศ ทั้งนี้ในในปี 2008 เสี่ยวปอร่วมกับปัญญาชนนักวิชาการกลุ่มหนึ่งร่างแถลงการณ์ "กฎบัตร 08" ซึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยในจีน โดยมีรัฐธรรมนูญใหม่และมีรัฐสภาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติอย่างแท้จริง
นอกจากนี้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโลกออนไลน์ของจีนยังถูกปิดกั้นอย่างหนัก โดยเมื่อปีที่ผ่านมาหน่วยงานดูแลความปลอดภัยในโลกออนไลน์ของจีนได้สั่งลบแอพพลิเคชั่นVPN เป็นจำนวน 674 VPN รวมไปถึงสั่งปิดเว็บไซต์จำนวน 5เว็บไซต์ที่พบว่ามีการเข้าถึงได้ด้วยVPN ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาองค์กรที่จัดอันดับเสรีภาพของสหรัฐฯ ที่จัดอันดับสื่อทั่วโลก180ทั่วโลกรายงานว่า เสรีภาพสื่อของจีนอยู่ในอันดับที่176 ซึ่งจัดอยู่ในประเทศที่ไม่มีเสรีภาพการนำเสนอของสื่อ
8.จีนต้องมีหนึ่งเดียว ห้ามแข็งข้อ
ปัจจุบันจีนมีดินแดนภายใต้การปกครองแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เมืองที่มีอำนาจในการจัดการปกครองตนเอง ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฉงชิ่งและเทียนจิน 23มณฑลที่ขึ้นกับรัฐบบาลกลาง 5 เขตการปกครองตนเอง ได้แก่ ซนเจียง กวางสี อินเนอร์มองโกลเลีย และหนิงเซีย และอีก 2 เขตบริหารงานพิเศษ ได้แก่ฮ่องกงและมาเก๊า
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ใช้มาตราการทางการทหารและการกดดันขั้นเด็ดขาดกับเขตการปกครองต่างๆ โดยเฉพาะซินเจียง ทิเบต และฮ่องกง ที่มีการเรียกร้องการจัดการตนเองเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระจากจีน โดยในซิงเจียงนั้นมีการส่งทหารเข้าไปในเมืองคัชการืซึ่งเเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคนี้ตั้งแต่ปี2011 เพื่อกำราบการประท้วงของประชาชนที่เรียกร้องการแยกตัวออกจากจีน หรือในทิเบตที่มีการประท่้วงครั้งใหญ่มาตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบันผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต องค์ดาไล ลามะ ไม่สามารถกลับเข้าทิเบตได้นับตั้งแต่ปี2014
นอกจากนี้ในเขตบริหารงานพิเศษอย่างฮ่องกงทางการจีนก็ได้มีการสั่งปราบปรามและกดดันทางรัฐบาลฮ่องกงให้จัดการกับกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกร้องอธิปไตยให้กับฮ่องกง อย่างกลุ่มร่มเหลือ ที่มีโจ ชัวหว่องเป็นแกนนำ ล่าสุดทางรัฐบาลฮ่องกงได้ตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของสมาชิกพรรคเดโมโตซิสของโจซัวหว่องไปแล้ว 3 คน ซึ่งรวมทั้ง หว่อง เองด้วย