ไม่พบผลการค้นหา
กสทช.ยืนยันไม่เคยอนุญาตให้พูดคำหยาบออกอากาศ ส่วนกรณี "อัญชะลี" พูดคำหยาบออกอากาศเตรียมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบพรุ่งนี้ (5 มิ.ย.61) เตือนเจ้าของช่องเข้มดูแลรายการข่าววิเคราะห์การเมืองช่วงใกล้เลือกตั้ง หวั่นห่วงเกิดยั่วยุปั่นกระแส พร้อมแจงลำดับเวลาแก้ปม "ซิตคอม" ใช้คำไม่สุภาพ

พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยกรณีของ อัญชะลี ไพรีรัก ผู้ดำเนินรายการ มีเรื่องร้องเรียนมาว่าพูดจาหยาบคายในการออกอากาศ และให้ร้ายบุคคลอื่น นั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการตรวจสอบการออกอากาศทีวีภาคพื้นดินช่อง 22 แล้ว ไม่พบเนื้อหาดังกล่าว แต่ไปพบการออกอากาศในช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ โดยพรุ่งนี้ (5 มิ.ย.61) จะมีการนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาผังรายการและเนื้อหารายการเพื่อวินิจฉัย เมื่อมีผลอย่างไรจะมีการเรียกผู้รับใบอนุญาตมาชี้แจง โดยในวันชี้แจงผู้ดำเนินรายการไม่จำเป็นต้องมาร่วมรับฟังด้วยเนื่องจาก กสทช. มีหน้าที่ในการกำกับผู้รับใบอนุญาตเท่านั้น

พล.ท. พีระพงษ์ ระบุว่า ภาพรวมที่ผ่านมา การออกอากาศรายการทางสังคม มีความหวือหวาไปมาตามสภาพตลาด และได้เรียกมาตักเตือนกันเป็นระยะ ซึ่งผู้ประกอบการก็ให้ความร่วมมือดีที่จะไปปรับแก้ ซึ่ง กสทช.เข้าใจว่าผู้ประกอบการเองก็ไม่อยากนำเสนอเนื้อหาอะไรที่มีปัญหาหรือขัดต่อข้อห้ามที่กำหนด

แต่สิ่งที่เป็นห่วงจากนี้ คือ สถานการณ์ที่ใกล้เลือกตั้ง การนำเสนอข่าว รายการข่าวที่มีผู้ประกาศ หรือผู้ดำเนินรายการเล่าข่าว โดยเฉพาะประเด็นการเมืองที่อาจทำให้เกิดความยั่วยุ แตกแยก เป็นเรื่องที่ กสทช.เป็นห่วง และเชื่อว่า เดือนหน้าเป็นต้นไปจะเกิดการร้องเรียนเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จึงอยากขอให้ผู้ประกอบการที่รับใบอนุญาต ระวังการนำเสนอในรายการที่แต่ละช่องรับผิดชอบ และถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของช่อง ไม่ใช่ผู้ดำเนินรายการ เพราะ กสทช.กำกับช่อง ในฐานะผู้รับใบอนุญาต ไม่ได้กำกับตัวบุคคล

ไล่ลำดับเหตุการณ์แก้ปัญหา "คำหยาบ" ซิตคอม

 ส่วนกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า กสทช. ให้ใช้คำหยาบออกอากาศได้นั้น เป็นการเข้าใจผิด โดยยืนยันว่า ไม่เคยอนุญาตให้พูดคำหยาบ ส่วนกรณีบางรักซอย 9/1 นั้น โดยทางกสทช.ได้รับหนังสือร้องเรียนจาก ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต จึงขอชี้แจงในรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้

 1. ผศ. ดร. วรัชญ์ ครุจิต มีหนังสือร้องเรียน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2560 ให้ตรวจสอบช่อง ONE 31 รายการออกอากาศช่วง 19.00– 20.00น. มีการใช้คำไม่เหมาะสม เช่นตัวละครพูดว่า “พี่คิดว่าผมเป็นผู้ชายเหี้ยๆ คนนึงก็พอ” ตัวละครที่ชื่อเอิร์ธ พูดว่า “กูคงให้ไอซ์ไปคบกับไอ้เหี้ยทอมแทน” และพบคำว่า “กู”และ “มึง” จำนวนมาก  

 2. สำนักงาน กสทช. โดย สำนักกำกับผังและเนื้อหารายการฯ นำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการผังและเนื้อหารายการ ครั้งที่ 48/2560 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2560 และอนุกรรมการมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและให้เรียกบริษัท จีเอ็มเอ็มวันทีวี จำกัด เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง 

 3. บริษัทฯได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการผังและเนื้อหารายการ ในคราวประชุมวันที่ 16 ม.ค. 2561 โดยที่ประชุมสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

 • บริษัทฯ ยอมรับว่า บางถ้อยคำเป็นคำพูดที่วัยรุ่นพูดกันในชีวิตจริง แต่อาจไม่เหมาะสมในการออกอากาศ บริษัทฯ ยอมรับ และจะนำไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเหมาะสม พร้อมดำเนินการดูดเสียงหรือตัดฉากที่มีถ้อยคำรุนแรงเกินไปออก

 • สำหรับการใช้คำบางคำ เช่น คำที่ใช้กันในสมัยโบราณ ตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยการจัดระดับความเหมาะสมของรายการนั้น ได้กำหนดให้พิจารณาถึงบริบทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการได้พิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนมีมติ

 • ที่ประชุมอนุกรรมการมีมติว่า รายการละครดังกล่าว มีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมจริง เมื่อบริษัทฯ ได้ยอมรับว่าจะปรับปรุงแก้ไขฉากที่มีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม และจะขึ้นข้อความเตือนในฉากที่อาจมีความล่อแหลม จึงเห็นว่ามีความผิด แต่สามารถตักเตือนได้ พร้อมกำชับให้บริษัทฯใช้ความระวังวังเกี่ยวกับเรื่องภาษาและความรุนแรงในการผลิตรายการ  

 4. สำนักงาน กสทช. นำกรณีดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาให้ความเห็นตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ และนำเสนอกรรมการ กสทช. เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2561 โดยกรรมการ กสทช. มีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอ (คือเมื่อบริษัทฯ ยอมรับและนำไปดำเนินการปรับปรุง จึงเห็นควรยุติเรื่อง) 

 5. กสทช. ขอเรียนว่า กสทช. ไม่ได้กำหนดมาตรฐานใดๆ ที่เป็นการส่งเสริม สนับสนุน ให้มีการใช้ถ้อยคำหยาบ คำไม่สุภาพ หรือความรุนแรงในรายการ อีกทั้งยังเฝ้าระวัง กวดขันให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการผลิตรายการและการกำหนดระดับความเหมาะสมของรายการให้เป็นไปตามประกาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด สำหรับมาตรการกำกับดูแลที่ผ่านมา ในชั้นต้นจะใช้วิธีการตักเตือนและขอความร่วมมือ ก่อนการบังคับใช้กฎหมายและออกคำสั่งทางปกครองตามลำดับขั้น 

ปลื้มลดโฆษณาผิดกฎหมายผ่านทีวีได้-รุกจับตาวิทยุเว็บไซต์

ในวันนี้ (4 มิ.ย.) พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ พล.อ.ต. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการ กสทช. พร้อมด้วย ภก.สมชาย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2561 ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 4 ที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และเว็บไซต์ พบว่าเป็นสัปดาห์แรกที่ไม่พบทีวีดิจิตอลที่กระทำผิด ส่วนช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม/เคเบิลทีวี มีช่องใหม่ที่เพิ่มเพียง 1 ช่อง ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดีหลังจากสำนักงาน กสทช. และ อย. ได้ทำงานเชิงรุกร่วมกันต่อเนื่อง แต่ในสื่อวิทยุกลับพบโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายบางสถานี 

อีกทั้ง ในสัปดาห์ดังกล่าว ยังพบผลิตภัณฑ์ใหม่ในสื่อโทรทัศน์และวิทยุ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ คือ 1. ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำนมหัวปลีผสมอินทผลัม (สูตรดั้งเดิม) ตรา มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ 2. ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำนมหัวปลีผสมอินทผลัม (สูตรขิง) ตรา มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ 3. ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำนมหัวปลีผสมอินทผลัม (สูตรมะขาม) ตรา มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ 4. ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สกินยูน ออริจินัล จิน เซ็ง โกลด์ เซรั่ม 5. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันถั่วดาวอินคา ตราเป็นเอก 6. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ธันย์ 7. เครื่องสำอาง aliz paulin 8. ผลิตภัณฑ์ตังถั่ง-ซาร์น 9. ผลิตภัณฑ์คอร์ดีน่า 10. ผลิตภัณฑ์พรหม เรด วัน และ 11. ผลิตภัณฑ์ดี-ทีน่า

ส่วนการโฆษณาผ่านเว็บไซต์ที่พบว่ามีการกระทำผิด มีจำนวนทั้งสิ้น 30 URL เป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มยาสมุนไพรบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง ยาทำแท้ง ขับเลือด ขับประจำเดือน และผลิตภัณฑ์เสริมสมรรถภาพเพศชาย

 “นับเป็นสัญญาณที่ดีที่สัปดาห์นี้ไม่พบช่องทีวีดิจิตอลกระทำผิด แต่สำนักงาน กสทช. และ อย. ก็จะยังทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น เพื่อให้จำนวนโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย ที่ให้ข้อมูลเกินจริงกับประชาชนมีจำนวนลดลง” พล.ท. พีระพงษ์ กล่าว

ด้าน ภก.สมชาย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ช่วงสัปดาห์นี้ ยังคงพบโฆษณาที่ผิดกฎหมายอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาว่าเป็นยารักษาโรค ซึ่งเป็นการโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ถือเป็นการสื่อข้อความที่เป็นเท็จ และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีการโฆษณาทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เป็นลักษณะการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อโครงสร้างของร่างกาย 

ส่วนโฆษณาผ่านเว็บไซต์พบการโฆษณาขายยาทำแท้งหลายรายการ ยาถือเป็นสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าทั่วไป ไม่อนุญาตให้ขายในเว็บไซต์ หรือนอกสถานที่ขายยาได้ โดยผู้ที่จะขายยาต้องมีใบอนุญาต ต้องจำหน่ายโดยเภสัชกรเท่านั้น จึงขอเตือนประชาชน ไม่ควรซื้อยาตามอินเทอร์เน็ต หรือทางเว็บไซต์ ต่าง ๆ เพราะเสี่ยงทั้งได้รับยาปลอม ยาไม่มีคุณภาพ หรือได้รับผลข้างเคียงจากยา จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นอกจากนี้ อย. ยังได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณาและขายผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านทาง Social media เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2560 – 20 พ.ค. 2561 มีทั้งสิ้น 1,537 เรื่อง ร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณา 783 เรื่อง แบ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ 44 เรื่อง เครื่องสำอาง 149 เรื่องยา 178 เรื่อง อาหาร 401 เรื่อง และอื่น ๆ 9 เรื่อง ซึ่งมีการดำเนินการแล้วทุกเรื่อง เช่น ทำหนังสือแจ้งปิดเว็บไซต์ไปที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เฉพาะรายที่เข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 

พ.ศ.2550 ม.14(1) และ ม.20 แจ้งระงับโฆษณาและเปรียบเทียบปรับ รวมถึงส่งเรื่องให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อสืบหาผู้กระทำผิด เพื่อขยายผลไปยังแหล่งผลิตและจำหน่ายต่อไป


อ่านเพิ่มเติม