วานนี้ (15 มี.ค.63) ที่บริเวณลานประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ นักเรียนและผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองรวมตัวกันชูป้ายข้อความต่างๆ เช่น "เราต้องการอากาศบริสุทธิ์" เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟเผาป่าและรณรงค์การแก้ไขปัญหาฝุ่นควันและมลพิษอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤติด้านคุณภาพอากาศอย่างหนักหน่วงตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ซึ่งรายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากเว็บไซต์ชื่อดัง Airvisaul พบค่าดัชนีคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกต่อเนื่องถึง 4 วันติดต่อกัน และเช้านี้ (16 มี.ค.) แม้จะลงมาอยู่ที่ 2 แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆของโลก ขณะที่ผลการตรวจวัดค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน50ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกือบทุกวันตลอดเดือนที่ผ่านมาและบางช่วงสูงเกินค่ามาตรฐานมากกว่าสิบเท่าตัวด้วย
ทั้งนี้ น.ส.ตวันนา ลิมปิผลไพบูลย์ ผู้ปกครอง ซึ่งริเริ่มการจัดกิจกรรมครั้งนี้ บอกว่า กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อต้องการจะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการดับไฟเผาป่าที่ทำงานอย่างหนักในการแก้ไขปัญหา แต่ยังคงมีสถานการณ์ปัญหาเกิดขึ้นรุนแรง เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการทั้งงบประมาณและอุปกรณ์ โดยเฉพาะการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ยากลำบากและการลักลอบเผาที่มีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการขอความร่วมมือและเฝ้าระวังแล้วก็ตาม
ขณะเดียวกันการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังเพื่อเรียกร้องและเป็นการจุดประกายให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันมีส่วนในการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาคนละไม้คนละมือเท่าที่สามารถทำได้ โดยตัวอย่างหนึ่งที่อยากเสนอ คือ ช่วยกันฉีดพ่นน้ำด้วยวิธีการต่างๆ ตามบ้านเรือนของตัวเอง ซึ่งยอมรับว่าไม่อาจแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาปัญหาลงได้บ้างในบริเวณที่ตัวเองอยู่อาศัย และหากร่วมกันมากพอก็อาจจะบรรเทาปัญหาลงได้เป็นบริเวณกว้างมากขึ้น
ชาวเชียงใหม่เริ่มป่วยด้วย "โรคทางเดินหายใจ" จากหมอกควัน
หลังชาวเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศจากฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ได้พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานจนมีผลกระทบกับสุขภาพ กระทั่งมีคำเตือนให้ประชาชนงดออกทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง รวมทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ
ขณะนี้ชาวเชียงใหม่ต่างได้รับผลกระทบ และเริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ จากการสูดดมเอาฝุ่นควันพิษเข้าไป จนต้องเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ซึ่ง นพ.อภินันท์ ตันติวุฒิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม โรงพยาบาลลานนา จังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคทางเดินหายใจ ที่มีอาการกำเริบเพิ่มสูงขึ้น และเข้ามารับการรักษากับทางโรงพยาบาลมากขึ้นจากช่วงปกติ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีในช่วงที่เกิดวิกฤตมลพิษทางอากาศ
ทั้งนี้มลพิษทางอากาศนอกจากทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีอาการกำเริบ โดยเฉพาะผู้ป่วยภูมิแพ้ จะมีอาการคัดจมูก ไอ จาม น้ำมูกไหลและ PM2.5 ยังดูดซึมได้ทางผิวหนัง จึงทำเกิดโรคผิวหนัง ผื่น คันระคายเคือง
นอกจากนี้พิษของ PM2.5 มีลักษณะคล้ายควันบุหรี่ ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ 100 เปอร์เซนต์ ร่างกายจึงสะสมไปเรื่อยๆ ส่วนระยะยาวจะมีผลให้เกิดโรคใดบ้างยังไม่มีงานวิจัยรองรับชัดเจน
แต่ที่มีข้อมูลคือ ระยะยาว 5- 10 ปี จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคถุงลมโป่งพอง อย่างไรก็ตามเริ่มมีการวิจัยผลกระทบของ PM2.5 ในเด็ก ซึ่งพบว่า PM2.5 มีส่วนทำให้พัฒนาการของสมองล่าช้า และยังมีผลต่อสติปัญญาด้วย จึงควรให้ความสำคัญ และฝึกให้เด็กสวมใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไป
แพทย์แนะดูแลร่างกายให้แข็งแรง งดกิจกรรมกลางแจ้ง
นพ.อภินันท์ ได้แนะนำให้ประชาชนดูแลและรักษาสุขอนามัยของตนเอง ดูแลร่างกายให้แข็งแรง งดการทำกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อเลี่ยงการสูดดมฝุ่น รวมทั้งต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันทั้งฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และไวรัสโควิด-19
ขณะที่สภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ (16 มี.ค.) ท้องฟ้ายังถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน แม้ว่าช่วงค่ำวานนี้จะมีฝนตกลงมาให้ให้ค่าพีเอ็ม 2.5 ลดลงแต่ยังคงเกินมาตรฐาน โดยล่าสุดแอปพลิเคชัน Air CMI รายงานค่าพีเอ็ม 2.5 เมื่อเวลา 10.23 น. ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ อยู่ที่ 185 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่อำเภอเชียงดาวสูงที่สุดกว่า 809 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร