มหาวิทยาลัยนอตเตรอดามของสหรัฐฯ และสำนักวาติกัน ร่วมกันจัดการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและภาวะโลกร้อนที่นครรัฐวาติกันระหว่างวันที่ 8-9 มิ.ย. โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หรือโป๊ปฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ทรงเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย
วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า โป๊ปฟรานซิสทรงเรียกร้องให้ผู้บริหารบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่เข้าร่วมในการประชุมคำนึงถึงการลงทุนด้านพลังงานที่ไม่เป็นภัยต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงพลังงานจากก๊าซธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
"การพัฒนาโลกไปสู่ความเจริญต้องใช้พลังงาน แต่การใช้พลังงานจะต้องไม่ทำลายความเจริญของโลก"
โป๊ปฟรานซิสตรัสว่า การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลก แต่ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ คนยากจนในประเทศต่างๆ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงและระดับมลพิษในอากาศเพิ่มสูงขึ้นทำให้คนยากจนหนักกว่าเดิม เพราะต้องเผชิญกับความสูญเสียจากภัยธรรมชาติและสุขภาพที่ย่ำแย่
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์/ยาฮูนิวส์ รายงานว่า ผู้บริหารบริษัทน้ำมันที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ มีทั้งผู้บริหารของบริษัทเอ็กซอนโมบิล, บีพี, อิควีนอร์, แบล็คร็อก, อ็อกซีเดนทัล ปิโตรเลียม และอีเอ็นไอ ซึ่งเป็นกิจการข้ามชาติจากหลายประเทศ
ผู้บริหารบริษัทน้ำมันเกือบทั้งหมดระบุว่า พร้อมจะสนับสนุนนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมและเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการค้นหาและสกัดพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งโป๊ปฟรานซิสตรัสด้วยว่า บริษัทต่างๆ จะต้องหาทางพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด
ทั้งนี้ โป๊ปฟรานซิสทรงเป็นผู้นำศาสนจักรที่ปวารณาตัวเป็นนักต่อสู้เพื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยทรงเลือกพระนามตามนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซิซี ซึ่งถูกจารึกว่าเป็นผู้ที่รักธรรมชาติ และก่อนหน้านี้โป๊ปฟรานซิสยังทรงวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดวัตถุนิยมและทุนนิยมที่ครอบงำทั่วโลกอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: