การประกาศลงชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อการท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 ในครั้งนี้ของทรัมป์ ถูกคาดการณ์เอาไว้สักระยะใหญ่ โดยอดีตประธานาธิบดีที่เข้าสู่กระบวนการถอดถอนกว่า 2 ครั้ง และเป็นผู้ปลุกระดมให้มวลชนก่อเหตุชุลมุนในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ จะยิ่งทำให้การแตกแยกทางการเมืองสหรัฐฯ ร้าวลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม
“เพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์อีกครั้ง คืนนี้ผมจะประกาศผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา” ทรัมป์ประกาศใน มาร์ อา ลาโก ที่พักส่วนตัว ท่ามกลางการตั้งคำถามของสถานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในพรรครีพับลิกัน หลังจากที่ในการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ ที่มีการอวดอ้างว่าจะเกิด “คลื่นสีแดง” ที่จะทำให้พรรครีพับลิกันครองเสียงจำนวนมากในรัฐสภาสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี คำโอ้อวดของทรัมป์กลับไม่เป็นไปตามคาด เพราะพรรครีพับลิกันกลับเสียเสียงในวุฒิสภา และได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส.ส.และ ส.ว.พรรครีพับลิกันที่มีชื่อเสียง ซึ่งออกตัวเข้าข้างทรัมป์ และทรัมป์ประกาศการให้การสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้ง ประสบกับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งในสนามเลือกตั้งกลางสมัยสหรัฐฯ ที่ผ่านไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้เกิดการโจมตีอดีตประธานาธิบดี และเรียกร้องให้ทรัมป์ชะลอการประกาศหรือไม่ดำเนินการอะไรเลยในการท้าชิงตัวแทนพรรครัพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2024
“ผมไม่สงสัยเลยว่าภายในปี 2024 มันจะยิ่งแย่ลงไปอีก และพวกเขาจะได้เห็นชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศของเรา และการลงคะแนนจะแตกต่างกันมาก” ทรัมป์ระบุ ทั้งนี้ ทรัมป์ระบุว่าการท้าชงในครั้งนี้ “จะไม่ใช่แคมเปญของผม (แต่) นี่จะเป็นแคมเปญของเราทั้งหมด” ท่ามกลางเสียงค้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายฝ่ายที่มองว่า ทรัมป์ไม่ควรสู้ต่อในสังเวียนการเมืองสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในขณะที่สถานะของทรัมป์กำลังตกต่ำ รอน เดอซานติส ผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดาจากพรรครีพับลิกัน ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งกลางสมัยมา กลับกลายมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญของทรัมป์ และยิ่งทำให้ความขัดแย้งในพรรครีพับลิกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับความนิยมต่อเดอซานติส ผู้มีฉายาว่าเป็นทรัมป์ 2 ได้ทวีคูณมากขึ้นตามไปด้วย
ทรัมป์ในวัย 76 ปี ถูกมองว่าเป็นคนมีสีสัน เขาเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่แต่งงานมาแล้วถึง 3 ครั้ง อีกทั้งยังเป็นดาราทีวีเรียลลิตี้ และมีหน้าโผล่ขึ้นตามหนังสือพิมพ์แผงลอย แต่ในปี 2558 หลังจากที่ทรัมป์กลายมาเป็นผู้ต่อต้าน บารัก โอบามา และก่อทฤษฎีสมคบคิดแบ่งแยกเชื้อชาติ เกี่ยวกับสถานที่เกิดของโอบามา ทรัมป์ได้เข้าสู่การแข่งขันเพื่อรับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน ก่อนที่จะได้รับเลือกให้กลายมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ เอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตไปได้ในการเลือกตั้งปี 2016
อย่างไรก็ดี ยุคสมัยของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีเต็มไปด้วยข้อวิพากษ์วิจารณ์ ก่อนที่เขาจะแพ้การเลือกตั้งทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้แค่เพียงวาระเดียวต่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันด้วยความพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด โดยไบเดนได้รับคะแนนเสียงมากกว่าทรัมป์ถึง 7 ล้านเสียง และไบเดนมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งชนะทรัมป์ 306-232 คะแนน ทั้งนี้ ทรัมป์ประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งดังกล่าว และปลุกระดมให้มวลชนก่อจลาจลในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
ทรัมป์ออกมากล่าวตลอด 2 ปีแรกของไบเดนในฐานะประธานาธิบดีว่า เขาจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ในท้ายที่สุดกลับต้องเลื่อนออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งกลางสมัย ซึ่งผลคะแนนกลับออกมาไม่เป็นไปตามที่เขาหรือพรรคคาดไว้ ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว.จากพรรคที่ทรัมป์สนับสนุนเองกลับพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งอย่างมโหฬาร
ก่อนการเลือกตั้งกลางสมัยสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ทรัมป์คว้าคะแนนนิยมจากพรรครีพับลิกันในการลงท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024 โดยทรัมป์มีคู่แข่งที่มีคะแนนนิยมสูสีกันอย่างเดอซานติส ซึ่งเคยระบุกับผู้บริจาคเงินพรรคว่า เขาจะไม่ลงท้าชิงตัวแทนพรรคกับทรัมป์ อย่างไรก็ดี น้ำหนักทางการเมืองเปลี่ยนไปยังฟากฝั่งของเดอซานติส หลังจากเข้าชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดาอย่างถล่มทลาย ทำให้หลายฝ่ายเอนการสนับสนุนไปยังเดอซานติสแทนทรัมป์
หากทรัมป์เอาชนะเดอซานติสได้ เขาจะติดเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 22 ที่กำหนดไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2028 แต่การแข่งขันในปี 2024 ยังคงเป็นไปได้ แม้ว่าไบเดนจะมีอายุครบ 80 ปีในไม่ช้า และต้องเผชิญกับคำถามว่าเขาควรสู้ต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อครองตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ด้วยตัวเองหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไบเดนกำลังเตรียมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งใหม่อยู่ในขณะนี้
ที่มา: