นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวตอบข้อวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการและฝ่ายการเมืองว่า รัฐบาลนี้ต้องแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในพื้นที่เมียนมาเพราะการกดดันของประเทศจีนและการเดินทางมาของผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงฯของจีน เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขดังกล่าว นั้นจะทำให้ไทยขาดอิสระซึ่งถือว่าเป็นการมองที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง และไม่ค่อยสร้างสรรค์เพราะภารกิจและอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาในดินแดนของประเทศไทยนั้นย่อมเป็นเรื่องของรัฐบาลไทยโดยตรง แต่ปัญหาข้างต้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหลายประเทศ
ดังนั้นทั้งไทย จีนและเมียนมาจึงได้ประสานความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่จะปกป้องคุ้มครองคนไทยจากการหลอกลวงของพวกคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติดและปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งก็ต้องชื่นชมมาตรการของรัฐบาล เช่นตัดไฟ ห้ามส่งน้ำมันและตัดระบบอินเทอร์เน็ตเป็นต้น
นายนพดล กล่าวต่อว่า ปัญหาของเมียนมาและอาเซียนที่ต้องร่วมกันแก้ไขระยะยาวก็คือการมีสันติภาพอย่างยั่งยืนในเมียนมาซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการขับเคลื่อนในระดับอาเซียนนั้นไม่ค่อยคืบหน้า แม้จะมีฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนไปหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าตั้งแต่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตรได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนเห็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประธานอาเซียนและที่ปรึกษาประธานอาเซียน ซึ่งมีเครือข่ายผู้นำของประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสันติภาพในเมียนมาจะสามารถผลักดันแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเพราะการสู้รบและความขัดแย้งในเมียนมา ประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นฝ่ายรับเคราะห์กรรมและนอกจากนั้นประเทศไทยก็ยังแบกรับปัญหาที่กระฉอกข้ามแดนปีแล้วปีเล่า ซึ่งตนได้เคยเสนอแนวคิดทร้อยก้าพลัสก็คือมีเวทีการพูดคุยกันระหว่างอาเซียน เมียนมา ไทยและประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคเช่น จีน อินเดีย
“การยุติความขัดแย้งและสงครามสามารถทำได้โดยการเจรจา ดูตัวอย่างการที่สหรัฐฯและรัสเซียพยามที่จะเจรจายุติสงครามในยูเครนก็ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องเมียนมาร์นั้น คิดว่าถ้าทุกฝ่ายตั้งใจก็สามารถที่จะ สร้างสันติภาพที่ยั่งยืนตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนได้ แต่ต้องเปลี่ยน การทูตปวกเปียก เป็นการทูตปูนปั้น เพื่อปั้นสันติภาพในเมียนมา ปั้นความยั่งยืนและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนให้ได้