กฤตย์ เยี่ยมเมธากร เลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ศปส. พร้อมสมาชิกเครือข่ายฯ เดินทางยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้มีการชัตดาวน์ประเทศ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้
โดยกฤตย์ กล่าวว่า เราปรึกษาและเห็นตรงกันในฐานะตัวแทนประชาชนที่จงรักภักดี จึงมายื่นจดหมายเปิดผนึกเพื่อบอกให้ทราบว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่อยู่ข้างสถาบัน และเชื่อมั่นนายกรัฐมนตรี จะเป็นกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ร้ายแรงตามที่เห็นสมควร และส่วนตัวคิดว่าการใช้กฎหมายพิเศษจะแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งที่ลงลึกไปถึงแต่ละครอบครัวได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งตนไม่ได้ระบุว่าจะต้องใช้วิธีรัฐประหาร แต่จะใช้กฎหมายใดอยู่ที่ผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศจะเห็นสมควร โดยนายกฯ อาจจะปรึกษากับประธานรัฐสภา และฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกัน เช่น การตั้งสภาเยาวชนแห่งชาติ เป็นต้น
ส่วนการเรียกร้องให้ชัตดาวน์ประเทศนั้น จะเป็นวิธีใดก็ตาม ที่รัฐบาล ทหาร ตำรวจ นักการเมืองต้องออกมาบอกกับประชาชนในระดับฐานรากให้หยุดเพื่อเซ็ทซีโร่ประเทศไทย โดยจะต่างกับการทำรัฐประหารที่ใช้อำนาจพิเศษ เพราะสิ่งที่ตนเองเสนอเป็นการช่วยเหลือกันตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จนถึงชาวบ้านธรรมดา ซึ่งแนวคิดของตน มองว่าทุกฝ่ายจะต้องมีการลงพื้นที่เปิดเวทีรับฟังความเห็นร่วมกัน และเรื่องนี้เราได้คุยกับทางกลุ่มผู้ชุมนุมศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (ศปปส.) และเครือข่ายอื่นๆระดับจังหวัดและภาคให้ได้รับทราบแล้ว
ทั้งนี้ จุดยืนของกลุ่ม คปส. คือห้ามปฎิรูปสถาบัน ส่วนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ไม่ขัดข้องและเห็นด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา
ด้านนายสุภรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าคนไทยเห็นด้วยกับกลุ่ม คปส.คือการปกป้องสถาบันเบื้องสูง และนายกรัฐมนตรีย้ำชัด ว่า ชาติ ศาสน์ พระมหากษัตริย์ เราต้องช่วยกันปกป้อง และรัฐบาลหาแนวทางออกร่วมกัน และคนไทยไม่ว่ากลุ่มไหนขอเรื่องเดียวคืออย่าก้าวล่วงสถาบัน ส่วนข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกนั้น เป็นแค่การหลอกให้ออกมาเคลื่อนไหวเพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ก็ไม่กล้ารับปากเรื่องปฏิรูปสถาบัน แต่แค่อยากให้มีการสรรหานายกรัฐมนตรีและกลับมามีอำนาจใหม่เท่านั้น
หลังจากที่กลุ่ม คปส.ยื่นจดหมายเปิดผนึกที่ทำเนียบรัฐบาลเสร็จสิ้น ก็ได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อที่ กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อยื่นหนังสือถึงพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเพื่อให้เป็นตัวแทน 4 เหล่าทัพ รวมถึงตำรวจ ว่า ทางเครือข่ายซึ่งมีสมาชิก 9,388 คน ขอเป็นกำลังใจให้ ผบ.ทบ.ปกป้องราชวงศ์จักรี โดยมีทหารเวรรับหนังสือแทน
ทั้งนี้ กฤตย์ ชี้แจงว่า เครือข่ายดังกล่าว จะเป็นสถาบันของประชาชน ส่วนในอนาคตอาจตั้งเป็นนิติบุคคลหรือมูลนิธิ เพื่อดำเนินการในลักษณะเอ็นจีโอ โดยไม่ได้รับทุนจากต่างประเทศ ไม่มีผู้สนับสนุนจากเบื้องบนหรือคนบงการ ซึ่งมีสมาชิกได้บริจาคเงินมาให้คนละ 50-100 บาท ซึ่งตนได้วางโครงสร้างองค์กรไว้ทั้งหมดแล้ว โดยเป็นชื่อที่สอดรับกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน
เมื่อถามย้ำถึงการสนับสนุนการทำรัฐประหาร กฤตย์ กล่าวว่า ในด้านเทคนิคหรือยุทธการจะเป็นอย่างไร เราในฐานะประชาชนก็ต้องดูสถานการณ์ เราคิดได้ แต่เราสั่งไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มีผู้ชุมนุมคนหนึ่ง สวมเสื้อสีเหลืองมาพร้อมกับชูกระดาษข้อความว่า “การรัฐประหารคือกบฎ ถ้าในหลวงไม่ปลอดภัย ท่านรับไหวหรือ เรารักในหลวง ร.10 ทรงพระเจริญ”
เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคณะราษฎร2563 กับกลุ่มมวลชนปกป้องสถาบันว่า นับวันการชุมนุมของทั้ง2ฝ่าย จะมีการเผชิญหน้ากันมากขึ้น และมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันจนเกิดความรุนแรงขึ้นได้ และยังมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่อยู่ในภายใต้กรอบของกฎหมายมากขึ้นตามลำดับ
จากกรณีที่นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร เลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์(ศปปส.)ประกาศระดมมวลชนเพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สำนักนายกรัฐมนตรี และเดินมาที่หน้ากองทัพบกเพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อเรียกร้องให้มีการรัฐประหารชัตดาวน์ประเทศ ซึ่งเป็นทัศนคติที่อันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศเป็นอย่างยิ่ง การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเข้าข่ายการยุยงปลุกปั่นให้มีล้มล้างการปกครองของประเทศ ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี2560 มาตรา 49 ที่บัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้” และอาจมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ประกอบมาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
จึงไม่อยากให้ประชาชนคนไทยมีทัศนคติสนับสนุนแนวความคิดการใช้กำลังทางทหารแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติ ด้วยวิธีการก่อรัฐประหาร เพื่อนำประเทศไปสู่การปกครองของเผด็จการ ซึ่งเป็นการนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลอง และจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองอย่างมากมาย เพราะปัญหาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น จะต้องแก้ไขตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
ขอเรียกร้องให้คนไทยทุกคนที่รักประชาธิปไตยได้ลุกขึ้นต่อต้านการทำรัฐประหาร และประณามข้อเรียกร้อง หรือการสนับสนุนของกลุ่มการเมืองกลุ่มใดๆ ที่กำลังจะทำให้ประเทศกลับไปสู่การปกครองของเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น ที่เป็นการปกครองที่ดีที่สุด และเหมาะสมกับการปกครองของประเทศไทยมากที่สุด