กลุ่มปกป้องพลเมืองช็อลลิมา กลุ่มชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ของตนเองว่า กลุ่มของตนได้ส่งคนบุกเข้าไปในสถานทูตเกาหลีเหนือประจำกรุงมาดริดของสเปนเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าว “ไม่ใช่การโจมตี” เพราะไม่มีอาวุธหรือใช้กำลัง รวมถึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นการตอบสนอง “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ที่เกิดขึ้นภายในสถานทูต เนื่องจากพวกเขาได้รับเชิญให้ไปที่สถานทูต และพวกเขามีจุดประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลของคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ศาลสเปนกำลังจะพิจารณาเนรเทศผู้ก่อเหตุออกจากสเปน
แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุว่า ระบอบเกาหลีเหนือเป็นเหมือนกับเครือข่ายอาชญากรขนาดใหญ่ สถานทูตและสำนักงานของรัฐบาลเกาหลีเหนือก็เป็นศูนยกระจายยาเสพติดและอาวุธเถื่อน และรัฐบาลเกาหลีเหนือยังปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ จารกรรม ลอบสังหาร ลักพาตัว และเรียกค่าไถ่
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า กลุ่มคนดังกล่าวบุกเข้าไปจับตัวรองเอกอัครราชทูตฝ่ายพาณิชย์ลงไปยังชั้นใต้ดิน เพื่อโน้มน้าวให้เขาแปรพักตร์ แต่เมื่อเขาไม่ยอมแปรพักตร์ก็ได้มัดเขาไว้กับเก้าอี้ แล้วออกจากสถานทูตได้พร้อมกับคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ และข้าวของอื่นๆ โดยเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุพยายามจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคิมย็อกชอล เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสเปนคนก่อน เนื่องจากการบุกสถานทูตครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่คิมจองอึนจะเดินทางไปพบโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี
คิมย็อกชอลถูกเนรเทศจากสเปนเมื่อ ก.ย. 2017 หลังจากที่เกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกที่ 6 และทดสอบขีปนาวุธไปตกในทะเลญี่ปุ่น โดยปัจจุบันคิมรับหน้าที่เป็นผู้เจรจาคนสำคัญกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มปกป้องพลเมืองช็อลลิมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) หรือหน่วยงานต่างชาติใดๆ และการพบกันระหว่างคิมกับทรัมป์ที่กรุงฮานอยของเวียดนามก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการครั้งนี้ พร้อมกล่าวขอโทษเจ้าหน้าที่สเปนในความไม่สะดวกใดๆ ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกสถานทูตเกาหลีเหนือในกรุงมาดริด
ทั้งนี้ มีรายงานหลายฉบับยืนยันว่า หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มปกป้องพลเมืองช็อลลิมาติดต่อเอฟบีไอ หลังการบุกสถานทูต เพื่อให้ข้อมูลที่ “มีคุณค่ามหาศาล” โดยมีการตกลงร่วมกันว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
ที่มา : The Guardian, Cheollima Civil Defense