อิสราเอลเตรียมลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาทในการนำเทคโนโลยี Big Data เข้ามาใช้จัดการข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชน เพื่อใช้ศึกษาวิจัย และเป็นฐานข้อมูลทางการแพทย์ขนาดใหญ่
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลเตรียมลงทุนราว 287 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8 พัน 9 ร้อยล้านบาท ในการนำเทคโนโลยี Big Data หรือการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เข้ามาใช้ในการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชน เพื่อให้นักวิจัยและบริษัทเอกชนนำไปใช้ โดยอิสราเอลมีประชากรราว 9 ล้านคน ซึ่งเกือบทั้งหมดมีประกันสุขภาพกับองค์กรดูแลรักษาสุขภาพ หรือ HMOs ซึ่งเก็บข้อมูลสมาชิกในรูปแบบดิจิทัลอยู่แล้ว จนทำให้มีฐานข้อมูลทางการแพทย์ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม นาดาฟ ดาวิชโดวิทช์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยเบนกูเรียน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิสราเอล ได้แสดงความกังวลว่า แม้การเก็บข้อมูลเพื่อทำ Big Data ในด้านสุขภาพจะส่งผลดีเป็นอย่างมากต่อประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและความลับทางการแพทย์ นอกจากนั้น บริษัทเอกชนจะนำฐานข้อมูลที่เปิดสาธารณะนี้ไปสร้างกำไรได้ ด้วยการตั้งราคายาสูงจนผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถซื้อได้
ด้านเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กลับมองว่า ระบบนี้จะมีกลไกในการเก็บข้อมูลที่ปกป้องความเป็นส่วนตัว มีความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูลสูง และยังจำกัดการเข้าใช้ข้อมูลได้อีกด้วย โดยที่สำคัญ โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรัฐ ที่ผู้ป่วยสามารถปฏิเสธการให้ข้อมูลเพื่อนำไปใช้ทำวิจัยได้
สำหรับการบันทึกสุขภาพดิจิทัลถือว่ามีคุณค่าไม่น้อย เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Big Data สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมากได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทผลิตยาได้ข้อมูลจากผู้ป่วยจริง และนำไปใช้พัฒนายาต่อไป โดยปัจจุบัน บริษัทยารายใหญ่ของโลกมีหน่วยงานที่เน้นศึกษาข้อมูลของการนำยาไปรักษาผู้ป่วยจริงแล้วในหลายโรค