เศรษฐกิจเวียดนามจะโตแซงหน้าสิงคโปร์ภายใน 10 ปี โดยได้อานิสงส์จากปัจจัยด้านการลงทุนและสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงการเดินหน้าผลิตรถยนต์เข้าสู่ตลาดโลก
รายงานของธนาคาร DBS ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งสิงคโปร์และหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ระบุว่า เศรษฐกิจเวียดนามอาจขยายตัวแซงหน้าสิงคโปร์ภายในปี 2029 โดยคาดการณ์อย่างเฉพาะเจาะจงลงไปว่า ภายใน 10 ปีนี้ เศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้เฉลี่ยมากถึง 6 ถึง 6.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี จากปัจจัยด้านการลงทุนจากต่างชาติ รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในแต่ละปี
ไอวิน เชียห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก DBS กล่าวว่า รัฐบาลเวียดนามวางเป้าหมายระยะยาวด้านความมั่นคงและความยั่งยืน มากกว่าจะเน้นที่การแข่งขันด้านความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเวียดนามมีแผนรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตในภาคแรงงาน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมไปถึงการทำให้ระบบการเมืองมีเสถียรภาพ เพื่อกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติ โดยในปีนี้ รัฐบาลเวียดนามคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถโตได้ถึง 6.8 เปอร์เซ็นต์
ในรายงานยังระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2018 GDP ของเวียดนามโตกว่า 7.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา เติบโตเพียง 3.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ปัจจุบันมูลค่าทางเศรษฐกิจของเวียดนามสูงกว่า 224,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 6.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจสิงคโปร์แล้ว คิดเป็นมูลค่าถึง 70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางรายกลับวิเคราะห์ว่า การที่เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตแซงหน้าสิงคโปร์ได้นั้น คงยัง "เป็นไปได้ยาก" ในเวลาเพียง 10 ปี
สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามนั้น นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า เป็นผลพลอยได้จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ยืดเยื้อมานานนับปี โดยนักลงทุนต่างย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามอย่างคับคั่ง
นักวิเคราะห์จาก โนมูระ บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของญี่ปุ่น กล่าวว่า เวียดนามเป็นชาติที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายต่างย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามเพื่อส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แทนการผลิตในประเทศจีน โดยเฉพาะชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบโทรศัพท์ เฟอร์นิเจอร์ และคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย ซึ่งบริษัทใหญ่ อย่างซัมซุง แอลจี และไมโครซอฟท์ ต่างก็เลือกที่จะย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ
อีกหนึ่งความสำเร็จล่าสุดของเวียดนามคือการผลิตรถยนต์เป็นของตัวเองภายใต้ชื่อแบรนด์ 'วินฟาสต์' บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนาม ที่ได้เริ่มต้นการส่งมอบรถยนต์รุ่นแรกอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทางวินฟาสต์ ระบุว่ารถยนต์ของบริษัทตนจะกลายเป็นอุปทานที่ช่วยตอบโจทย์ตลาดในประเทศเวียดนาม ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ที่ต้องการมีรถยนต์เป็นของตนเอง แม้บริษัทจะต้องแข่งขันกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง โตโยต้าและฟอร์ดก็ตาม
เหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวว่า เขาหวังว่ารถยนต์ของวินฟาสต์ จะช่วยให้ยี่ห้อเวียดนามเป็นที่รู้จัก เคียงคู่กับรถยนต์ของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเยอรมนี พร้อมย้ำว่าอะไรที่โลกทำได้ ชาวเวียดนามก็ทำได้เช่นกัน
รถยนต์ส่วนบุคคลรุ่นแรกของบริษัทในยี่ห้อวินฟาสต์ คือ รุ่นฟาดิล (Fadil) เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 98 แรงม้า ราคาประมาณ 450 ล้านดอง หรือราว 601,200 บาท โดยรถยนต์ฟาดิลจะวางตัวเป็นคู่แข่งกับรถยนต์รุ่นมอร์นิง ของ เกีย มอเตอร์ จากเกาหลี โดยทางบริษัทระบุว่าปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 10,000 คัน ซึ่งแรกเริ่ม วินฟาสต์ตั้งใจจะผลิตรถยนต์รุ่นนี้ให้ได้ 250,000 คันต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเทียบเท่ากับยอดขายรวมต่อปีของรถยนต์ในเวียดนาม ซึ่งในปีที่แล้วอยู่ที่ 280,000 คัน
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมเปิดตัวรถยนต์ซีดาน รุ่น Lux A 2.0 และรถยนต์เอสยูวี รุ่น Lux SA 2.0 ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม รวมถึงเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในสิ้นปีนี้ และเตรียมเปิดตัวรถยนต์ 12 รุ่น รวมถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ภายในปี 2019 และ 2020 โดย ฝ่าม เหนียต เฟือง ประธานเครือวินกรุ๊ป กล่าวว่าบริษัทตั้งใจอย่างมากที่จะจุดยืนและมาตรฐานของแบรนด์เวียดนามให้เป็นที่ยอมรับในตลอดโลกให้ได้
แม้ตลาดรถยนต์เวียดนามจะยังคงมีขนาดเล็ก ด้วยยอดขายรวมรถยนต์ในปีที่แล้วเพียง 280,000 คัน แต่เวียดนามก็มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในประชาคมอาเซียน โดยเว็บไซต์ นิเคอิเอเชียนรีวิว เผยว่าค่า GDP ต่อหัวของเวียดนาม อยู่ที่ 2,600 ดอลลาร์ หรือราว 81,000 บาท เข้าใกล้ระดับ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 93,500 บาท ซึ่งถือเป็นระดับที่มีแนวโน้มจะเร่งให้เกิดการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่น ๆ ค่า GDP ต่อหัวในกรุงฮานอยเกินระดับดังกล่าวไปแล้ว
บริษัทผลิตรถยนต์วินฟาสต์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของวินกรุ๊ป เครือบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งโฟกัสธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และการค้าปลีก โดยผลิตภัณฑ์ของเครือธุรกิจยักษ์นี้ รวมไปถึงที่อยู่อาศัย รีสอร์ต ฟาร์ม โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และเพิ่งออกสมาร์ตโฟนของตัวเองในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นิตยสารฟอร์บส ระบุว่า เฟือง ผู้เป็นประธานบริษัทมีทรัพย์สินประมาณ 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 240,240 ล้านบาท) ซึ่งยิ่งทำให้เวียดนามเป็นประเทศแห่งการลงทุนที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ในกลุ่มอาเซียน