ผลการศึกษาเผยว่า ธุรกิจการบินในประเทศและระหว่างประเทศมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึงแปดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึงสี่เท่า
วารสารเนเจอร์ ไคลเมต เชนจ์ (Nature Climate Change) เผยผลการศึกษาล่าสุดที่ระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายล้านดอลลาร์นั้นกำลังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจการบินที่ต้องใช้พลังงานไม่น้อย
อารูนิมา มาลิก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยธุรกิจแห่งซิดนีย์ ออสเตรเลีย ซึ่งนำทีมการศึกษานี้เผยว่า ธุรกิจท่องเที่ยวมีแนวโน้มว่าจะเติบโตรวดเร็วกว่าธุรกิจอื่น และจะทำรายได้มากกว่าเดิมถึงสี่เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025 ซึ่งหากจะลดมลพิษคาร์บอนในการท่องเที่ยว ก็ต้องมีการจัดเก็บภาษีคาร์บอน รวมถึงการค้าสิทธิก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในธุรกิจการบินอย่างจริงจัง
สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า นับตั้งแต่ปี 2036 จะมีผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นสองเท่า ราว 7.8 พันล้านคนต่อปี// โดยปัจจุบันธุรกิจการบินปล่อยก๊าซสองเปอร์เซ็นต์ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่ปล่อยโดยมนุษย์ ซึ่งถ้าหากธุรกิจการบินเป็นประเทศ ก็จะถือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากเป็นอันดับ 12 ขณะที่อันดับ 1 เป็นของอเมริกา ตามด้วยจีน
ปัจจุบัน สนธิสัญญาปารีสปี 2015 ที่เน้นแก้ปัญหาโลกร้อน ยังไม่ครอบคลุมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและการบิน แต่หลายประเทศต่างให้ความร่วมมือเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย 191 ประเทศได้เซ็นสัญญาว่า จะควบคุมการปล่อยก๊าซในธุรกิจการบินภายในปี 2020 และจะส่งต่อสองเปอร์เซ็นต์ของรายได้ไปสนับสนุนโครงการลดคาร์บอน และการปลูกป่า